วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

การตากผ้า กับ ปรัชญาการเล่นหุ้น 2


ต่อจากคราวที่แล้ว ผมบอกว่าเรื่องราวของการตากผ้ายังมีอีกมาก และนั่นก็แปลว่าเรื่องราวของหุ้นก็ยังมีอีกมากเช่นกัน

นอกเหนือจาก "แก่นแท้" ของการตากผ้าคือการทำให้ผ้าแห้ง และปัจจัยเสริมซึ่งได้แก่จังหวะการนำผ้าออกไปตาก ซึ่งส่งผลต่อการเหงื่อไหลไคลย้อยของเราเองแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ เบ็ดเสร็จแล้วเราควรเอาผ้าใส่เครื่องตั้งแต่ต้นหรือเปล่า


ฝนลงเม็ดแล้ว ซักเสื้อผ้าตัวที่บางๆ ดีกว่า

หากคุณเอาผ้าไปซักในขณะที่ฝนเริ่มลงเม็ด ใครๆ ก็คงบอกว่าคุณบ้าไปแล้ว ถึงแม้คุณจะพยายามอ้างว่าผ้าที่เอามาซักนั้นเป็นผ้าเนื้อบางที่แห้งง่ายก็ตามที ซึ่งก็แหงล่ะ ต่อให้ผ้าเนื้อบางขนาดไหนแต่ถ้าเราเอาไป "ตากฝน" มันก็คงไม่แห้ง

ในบางโอกาสการไม่ทำอะไรเลยอาจจะดีกว่าการพยายามทำอะไรบางอย่าง ตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆ คือการพยายามซื้อหรือแม้แต่ถือหุ้นในภาวะตลาดขาลง การซื้อหุ้นในตลาดขาลงไม่แตกต่างอะไรกับการออกไปตากผ้าในวันฝนตก แต่อย่าคิดว่าคนที่ตากผ้าในวันฝนตกไม่มีอยู่จริงนะครับ คุณอาจคาดไม่ถึงว่าในแวดวงการลงทุนก็มีคนที่ทำบ้าๆ อย่างนั้นอยู่เหมือนกัน และเขาก็คือ "ผู้จัดการกองทุน"

เพื่อความเป็นธรรมต่อวิชาชีพนี้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้จัดการกองทุนจำต้องบริหารเงินที่หลั่งไหลเข้ามาให้สอดคล้องกับกฏระเบียบและนโยบายของกองทุน บางครั้งเขาจึงต้องทำในสิ่งที่ไม่ค่อยฉลาดนัก เป็นต้นว่าเข้าซื้อหุ้นในขณะที่ภาวะตลาดขาลงเพิ่งเริ่มต้นขึ้นไม่นาน (ส่วนใหญ่พอหุ้นตกปุ๊บ พวกเราก็จะรีบวิ่งไปซื้อ LTF จริงมั๊ย) ผู้จัดการกองทุนไม่กล้าเก็บเงินไว้รอโอกาสที่เจ๋งสุดๆ แล้วเสี่ยงกับการต้องออกไปอธิบายกับนักลงทุนว่า เนี่ย หกเดือนที่ผ่านมาสภาพตลาดไม่อำนวย ผมจึงยังไม่ได้ซื้อหุ้นตัวไหนเลย... (แต่กองทุนก็เก็บค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 1.75% เท่าเดิม)

ผู้จัดการกองทุนมีอาชีพและหน้าที่ที่จะต้อง "ออกไปทำงานและทำอะไรบางอย่าง" พร้อมกลับมารายงานให้พวกเราได้รับฟัง ดังนั้นไม่ว่าฝนจะตกอย่างไรเขาก็จะยังคงตากผ้าต่อไปด้วยการ "ซื้อหุ้นเชิงรับ" เช่น หุ้นค้าปลีก หุ้นสาธารณูปโภค ฯลฯ และทำให้เราเชื่อว่าเงินของเราถูกเอาไปลงทุนอย่างชาญฉลาด

ชาญฉลาดเหรอ? ถ้าผู้จัดการกองทุนของคุณบอกว่า เอ้า ฝนเริ่มจะตกแล้วนะ ผมจะซักผ้าให้คุณโดยเลือกซักเฉพาะเสื้อผ้าตัวบางๆ จะได้ชื้นและเหม็นอับน้อยหน่อย ...ฟังดูไม่ค่อยโสภาใช่มั๊ยครับ ตลาดขาลงคราวหน้าคุณก็อย่าทำแบบนั้นเสียเองล่ะ


ลองพลิกผ้าดูสิ

สิ่งหนึ่งที่คนตากผ้าเกินกว่า 90% ทำกันก็คือ เอาผ้าที่ซักแล้วมาตากบนราว จากนั้นก็ไปทำกิจกรรมอื่นครึ่งค่อนวัน พอผ้าแห้งก็ค่อยมาเก็บ แต่นี่คือวิธีที่ดีที่สุดหรือเปล่า... ผมสังเกตว่าเสื้อผ้าด้านที่โดนแดดโดยตรงจะแห้งก่อน ดังนั้นหลังจากเริ่มตากผ้าไปแล้วชั่วโมงกว่าๆ หากเราพลิกผ้าอีกด้านให้โดนแดดบ้าง เสื้อผ้าหนาๆ ของผมก็จะแห้งเร็วขึ้นและมีเวลาที่จะกลายร่างเป็นผ้าหอมๆ นานขึ้น

สำหรับการลงทุน สิ่งที่เราต้องทำก็คือการใส่ใจ และการพลิกผ้าก็คือการใส่ใจ

นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) ให้ความสำคัญกับ margin of safety หรือ ส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับมูลค่าหุ้น การซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในขณะที่ราคาตลาดอยู่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นมากๆ ช่วยให้เงินของเรามีความปลอดภัยในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ถ้าหลังจากซื้อหุ้นแล้วราคามีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจน margin of safety ค่อยๆ หดหายไป VI ที่มีความใส่ใจย่อมมองหาหุ้นตัวใหม่ที่ให้ margin of safety สูงกว่า และนี่ก็คือการพลิกผ้าเพื่อให้มันแห้งเร็วนั่นเอง

เรื่องนี้อาจขัดกับความคิดดั้งเดิมของหลายๆ คนที่เข้าใจว่า VI ต้องซื้อแล้วถือยาวโดยไม่สนใจราคาตลาด แต่ถ้าเราเข้าใจ margin of safety ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการเป็น VI ก็จะนึกออกว่าการถือหุ้น "นานๆ" นั้นเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยมาก แต่แก่นจริงๆ มันอยู่ที่ margin of safety ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น