ไม่นานมานี้ผมได้อ่านเว็บหนึ่งพูดถึงหนังสือที่ "ดีเยี่ยม" และทำให้ระลึกได้ว่าผมเองก็มีหนังสือเล่มนั้นอยู่เหมือนกัน เลยขอเอาเนื้อความบางส่วนมาแบ่งปันและต่อยอดกันครับ
หนังสือเล่มที่ว่าคือ "สู่ชีวิตการงานอันเรียบง่าย" ผมขอยกเนื้อความที่พูดถึงเรื่องบ้านมาเรียบเรียงใหม่ไม่ให้ยืดยาวมากเกินไป ...สิ่งที่น่าสังเกตคือหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในปี 2001 หากคนอเมริกันส่วนใหญ่ได้อ่านและทำตามเราก็คงไม่มีวิกฤติซับไพร์ม คนไทยก็คงไม่มีโอกาสได้เก็บหุ้นราคาถูกในปี 2008 ครับ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยอดค่าใช้จ่ายสูงสุดของครอบครับส่วนใหญ่ก็คือ ค่าบ้าน ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาขนาดบ้านพักอาศัยโดยทั่วไปของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า ขณะที่ค่าบ้านขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำโดยทั่วไปได้เพิ่มขึ้นเกือบเจ็ดเท่า
ข้อแนะนำในการวางแผนทางการเงินแบบเก่าในช่วง 50 ปีมานี้ก็คือ "ไม่ควรจ่ายเงินค่าบ้านโดยรวม (เงินต้น ดอกเบี้ย ภาษี และค่าเบี้ยประกันภัย)เกินกว่าร้อยละ 25 ของรายได้ทั้งหมดต่อเดือน" และคำแนะนำนี้ก็ยังคงใช้ได้อยู่
โชคไม่ดีเลยว่าช่วง 2-3 ปีมานี้ ผู้ปล่อยสินเชื่อกลับยอมให้ผู้กู้จ่ายค่าบ้านในระดับ 40-50% ของรายได้ เมื่อพิจารณาถึงรายได้สุทธิหลังหักภาษี หักกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอื่นๆ คงจะเห็นได้ว่าผู้กู้จะมีเงินเหลือพอใช้ในแต่ละเดือนได้อย่างไร...
ผู้ปล่อยสินเชื่อได้สร้างความลำบากอย่างมหาศาลแก่ประชาชนผู้ซื้อบ้านด้วยการอนุมัติเงินกู้ซึ่งสูงเกินกว่าจำนวนผู้ซื้อจะสามารถจ่ายได้จริง เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะบอกคุณว่าพวกเขาเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อให้คุณเพราะราคาบ้านได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขาเพียงแต่ต้องการให้ผู้ซื้อบ้านได้มีบ้านที่ตนเองต้องการ ที่จริงผู้ปล่อยสินเชื่อไม่ได้ยอมให้กู้เพราะเห็นแก่ผู้ซื้อ แต่เพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่า สิ่งที่ผู้ให้กู้สนใจเป็นอย่างแรกก็คือคุณจะจ่ายชำระในแต่ละเดือนได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ การที่คุณต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางอารมณ์จากการเงินและการทำงานอันเนื่องมาจากการตัดสินใจนี้มิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้ให้สินเชื่อเลย
แน่นอนว่าในระยะสั้น การอนุมัติสินเชื่อนี้ย่อมทำให้ผู้ซื้อบ้านได้มี "บ้านในฝัน" ซึ่งในหลายๆ กรณีก็เป็นบ้านราคาแพงเกินกว่าพวกเขาจะจ่ายได้ แต่ในระยะยาวแล้ว ยอดผ่อนชำระที่สูงลิบทำให้ผู้กู้ต้องพยายามหาเงินมาจ่ายให้ได้ ซึ่งบ่อยครั้งก็ทำให้พวกเขาไม่อาจสร้างฐานะในระยะยาว แต่ต้องหมดเงินไปกับค่าบ้านสูงลิ่วและต้องทนทำงานที่ไม่ชอบ แถมยังเพิ่มความเครียดให้ชีวิตหนักโข
เรียบเรียงใหม่จาก "สู่ชีวิตการงานอันเรียบง่าย" (Simplify Your Work Life) โดย อีเลน เซนต์เจมส์ แปลโดย นุชจรีย์ ชลคุป
และขอขอบคุณ www.cheechud.com บทความของวันที่ 17 ก.ค. 54
--------------------------------------------------
อ่านแล้วผมนึกไปถึงบ้านของบัฟเฟตต์ ซึ่งแม้เขาจะรวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่เคยไขว่คว้าหาบ้านหลังโตในย่านหรูหรา ...หรือนี่อาจเป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้เขาเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกก็เป็นได้ครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมเอามาคิดต่อยอดคือ เพื่อนผมหลายคนมีรายได้สูงลิบ บางคนเป็นผู้จัดการกองทุน บางคนเป็นนักบิน ที่ผมเห็นคือพวกเขาเอาเงินไปทุ่มลงกับ "บ้านใหญ่ๆ" และ "รถเท่ๆ" ความจริงก็นานาจิตตังนะครับ แต่ถ้าเป็นผมคงจะเอาเงินไปลงทุนดีกว่า มีบ้านแบบพอเพียงแต่รวยเร็วดีกว่ามีบ้านใหญ่แล้วรวยช้า และที่สำคัญนี่เป็นการ attack ที่รายจ่ายก้อนใหญ่ที่สุดของชีวิตเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น