วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

การตากผ้า กับ ปรัชญาการเล่นหุ้น 1




สำหรับบางคนการได้นั่งชิลล์หามุมสงบในร้านกาแฟจะช่วยให้เกิดสมาธิและไอเดียดีๆ เราถึงได้เห็นคนจำนวนมากไปนั่งในร้านกาแฟทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบกินกาแฟด้วยซ้ำไป หลายครั้งผมเองก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่บางทีผมก็เกิดไอเดียได้ขณะที่อยู่ในมุมสงบของบ้าน

ใช่แล้วครับ ตามหัวเรื่องเลย วันหนึ่งผมเอาผ้าที่ซักเสร็จแล้ว (ซักเครื่องนะครับ ขอยกเครดิตให้เครื่องซักผ้าด้วย) ไปตากแดด แล้วผมก็พบปรัชญามากมายที่เชื่อมโยงกับการเล่นหุ้น


"อยากได้แดดจัดๆ - อยากให้หุ้นขึ้นเยอะๆ"

เคยมีเพื่อนบอกผมว่า ถ้าไปเมืองนอกแล้วเห็นนักศึกษานั่งผึ่งแดดกลางสนามหญ้า นั่นคือฝรั่ง แต่ถ้าเห็นกลุ่มไหนนั่งหลบแดดใต้ต้นไม้ นั่นคือคนไทย ผมบอกไม่ได้ว่าจริงแค่ไหน แต่ถ้าเป็นผมกับเพื่อนๆ ก็คงจะไปหลบแดดเหมือนกัน เลยคิดว่าเรื่องที่คนไทยไม่ชอบตากแดดร้อนๆ คงจะพอมีความจริงอยู่บ้าง

ข้อสรุปนี้ขัดกับธรรมชาติของการตากผ้า เวลาตากผ้าเราย่อมต้องการแสงแดดจัดๆ เพื่อทำให้ผ้าแห้งเร็ว สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นพ่อบ้านแม่บ้านอาจจะไม่ทราบว่าการเอาผ้าตากแดดจนแห้งและเก็บขณะที่ยังร้อนอยู่นั้นจะทำให้ผ้าหอมสะอาด มุมมองของผมก็คือ เราต้องการแสงแดดจัดๆ ตลอดการตากผ้า แต่เราต้องการให้แดดร่มเป็นการชั่วคราวในขณะที่เรายืนตากผ้า ซึ่งนี่คือ best case scenario ของการตากผ้า

ในทำนองเดียวกับการเล่นหุ้น หลังจากที่ซื้อหุ้นไปแล้วเราต้องการให้หุ้นขึ้นเยอะๆ ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี เราจะได้ทำกำไรได้มากๆ อย่างไรก็ตาม เราต้องการให้หุ้นย่อตัวลงมาในระยะสั้นให้เรา "เก็บหุ้น" ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีจังหวะที่จะซื้อหุ้นได้ที่ต้นทุนต่ำๆ และก็เหมือนกับการตากผ้าครับ สิ่งนี้คือ best case scenario สำหรับการเล่นหุ้น ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นจริงก็ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากให้แง่คิดก็คือ "แม้มันจะไม่ใช่ best case scenario เราก็ยังคงได้กำไรถ้าแดดจัด เพียงแต่ร้อนหน่อยก็เท่านั้น"

ดังนั้นขอให้มองภาพรวมก่อนว่าในระยะยาวแล้วหุ้นตัวนั้นๆ จะเป็นขาขึ้นหรือไม่ ซึ่งหลักใหญ่แล้วก็อยู่ที่แก่นแท้ของตัวหุ้นหรือผลประกอบการของบริษัทนั่นเอง


ฟ้าครึ้มอย่าตากผ้า

หลายคนเห็นแดดร่มหน่อย "ว้าว! นี่คือจังหวะของการตากผ้า" เลยรีบเอาผ้าใส่เครื่องซักแล้วเอามาตาก ปรากฏว่า อ้าว ฝนลงเม็ด... ในทำนองเดียวกัน หลายครั้งที่ราคาหุ้นย่อลงมา นักลงทุนบอกว่า "ว้าว! นี่คือจังหวะของการซื้อหุ้น" เลยรีบช้อนซื้อ ปรากฏว่าช้อนหัก เพราะซื้อแล้วหุ้นก็ลง ซึ่งมักเป็นผลจากการมองภาพระยะสั้น ละเลยภาพระยะยาว

การมองภาพระยะยาวให้ออกเท่ากับว่าเราต้องศึกษาตัวบริษัท รวมทั้งสภาวะการแข่งขัน ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกับการวิเคราะห์ของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ VI และที่เราเห็นนักลงทุนกลุ่มนี้ทำกำไรได้อย่างงาม ก็เพราะพวกเขาทำการบ้านมาอย่างหนักและเกาะไปกับแนวโน้มระยะยาวของกิจการนั่นเอง (อ่านออกว่าเดี๋ยวแดดจะแรง) ส่วนที่ VI บางท่านรวยกว่าคนอื่นๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเข้าซื้อในจังหวะที่ได้เปรียบจึงมีต้นทุนต่ำ (เห็นแดดร่มปุ๊บก็รีบตากผ้าเลย) ขณะที่บางท่านเข้าซื้อแพงกว่า (แดดร้อน เหงื่อแตก) แต่หุ้นก็ยังขึ้นต่อตามแนวโน้มระยะยาว

...แน่นอนครับบางทีเราเห็นฟ้าโปร่ง แต่แล้วฝนก็ตกลงมา ผมถือว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอในโลกของหุ้น ตัวบริษัทอาจทำผลงานได้ดี เราจึงคิดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับผลประกอบการ แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่าบรรยากาศหรือสภาพตลาดก็มีผลต่อราคาหุ้นด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ผมเองก็เคยเจออยู่เป็นระยะๆ ถ้าผมเองต้องขาดทุนเพราะความผิดพลาดทำนองนี้ก็ทำใจ อย่างน้อยเราก็ได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว แต่ต้องไม่ลืมตั้งข้อสังเกตกับตัวเองด้วยว่าเรามองอะไรผิดพลาด จากนั้นต้องเดินหน้าต่อไปและไม่ทำผิดซ้ำอีก

--- เรื่องของการตากผ้ายังมีอีกมาก ไว้ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟังอีกครับ ---

--- ส่วนรูปประกอบเอามาจากเกมตากผ้า ไม่เคยเล่น แต่น่าจะสนุกดีเหมือนกันนะ ---

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น