วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ราคาหุ้นกับเป้าหมายของผู้บริหาร


แปลกใจหรือเปล่าว่าทำไมช่วงเศรษฐกิจตกต่ำราคาหุ้นถึงได้ดิ่งเอาๆ และทำไมช่วงเศรษฐกิจเติบโตราคาหุ้นถึงได้พุ่งเอาๆ ไม่ได้ขยับแบบค่อยเป็นค่อยไป

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ในภาวะปกติธุรกิจจะดำเนินและเติบโตไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะขยับขึ้นลงบ้างในระยะสั้นตามสภาพตลาดหุ้นแต่มองยาวๆ แล้วค่อนไปทางบวก ช่วงปกตินี้อาจกินระยะเวลานานหรือสั้นก็ได้

ขาลง



เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นไม่ว่าต้นตอจะเป็นภาคอสังหาฯ ภาคการเงินธนาคาร การโจมตีค่าเงิน หรืออะไรก็ตามที วิกฤติที่เกิดขึ้นในช่วงแรกนี้ผู้คนจะยังไม่รู้สึกตัว แม้แต่ผู้บริหารบริษัทก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจะตั้งเป้าหมายของบริษัทไปในทางบวก เช่นว่า ยอดขายรายไตรมาสจะเติบโตได้ 10% หรือส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มขึ้นอีก 5% เมื่อผลออกมาต่ำกว่าเป้า พวกเขาก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องชั่วคราวและบริษัทยังสามารถตีตื้นกลับมาได้

เวลาผ่านไปวิกฤติเริ่มชัดเจนขึ้น บริษัททำผลงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาโดยตลอด และทุกครั้งที่ผลประกอบการออกมาแย่นักลงทุนก็จะเทขายหุ้นทำให้หุ้นตก นักลงทุนที่พยายามเข้าช้อนซื้อหุ้นก็พบว่ายิ่งซื้อหุ้นก็ยิ่งตก เพราะบริษัททำผลงานได้ห่วยกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายทุกคนก้มหน้ายอมรับว่าวิกฤติเกิดขึ้นแล้ว และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจถึงจะฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ในกลางช่วงภาวะวิกฤติ ผู้บริหารบริษัทมีความระมัดระวังตัวมากขึ้น เวลาตั้งเป้าหมายก็จะรอบคอบมักน้อยเป็นปกติวิสัย ช่วงนี้บริษัทเริ่มทำผลงานได้ตามเป้าหมาย แต่ก็เป็นผลงานที่ยังไม่ดีนัก



ขาขึ้น


จวบจนเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ธุรกิจกลับฟื้นตัวได้อีกครั้ง ทว่าผู้บริหารยังคงมีทัศนคติที่ระมัดระวังตัวเช่นเคย จึงวางเป้าหมายในลักษณะมักน้อย (ความจริงใครๆ ต่างก็ยังไม่คิดว่าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้น)

ในสถานการณ์เช่นนี้บริษัททำผลงานได้ดีขึ้นและสามารถทำได้เกินเป้าหมาย และอีกเช่นเคยผู้บริหารที่เปี่ยมล้นด้วยความระแวดระวังยังไม่ยอมขยับเป้าหมายให้สูงขึ้นมากๆ พวกเขายังคงวางเป้าหมายมักน้อยต่อไป จนเมื่อบริษัท "ทะลุเป้า" ได้อย่างชัดเจน นักลงทุนเริ่มตื่นตัวและเข้าซื้อ ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคัก

ผู้บริหารเริ่มมีกำลังใจและห้าวหาญขึ้น จึงขยับเป้าหมายขึ้นช้าๆ แต่บริษัทก็ยังทำได้ดีกว่านั้นมาก ราคาหุ้นจึงพุ่งไม่หยุด ผู้บริหารชักหลงตัวเองแล้วว่าตูบริหารเก่งนี่หว่า เลยตั้งเป้าหมายสูงลิ่ว...

บริษัทเริ่มหดลงมาจาก "ทะลุเป้า" เหลือแค่ "ได้ตามเป้า" ราคาหุ้นย่อตัวลงและเข้าสู่ภาวะ sideway จวบจนวิกฤติกลับมาเยื่อนอีกครั้ง วนเวียนกันไปไม่รู้จบ


ข้อสังเกต


จริงอยู่ว่าวัฏจักรเศรษฐกิจเป็นตัวหลักที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลง แต่เป้าหมายของผู้บริหารก็เป็น "ตัวเร่ง" ที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งเป็นรถไฟเหาะตีลังกา และผมสังเกตว่าเป้าหมายของผู้บริหารนี้มักจะล้าหลังสภาพเศรษฐกิจอยู่เสมอๆ ดังนั้นใครก็ตามที่พยายามยึดเอาทัศนะของผู้บริหารมาประกอบการซื้อขายหุ้นจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น