สมัยเด็กๆ แม่ผมจะซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาให้ทานอยู่เสมอ แต่ก่อนนั้นไม่ได้มีไส้ให้เลือกมากเหมือนกับสมัยนี้ หลักๆ ก็จะเป็นไส้เม็ดบัว ไส้โหงวยิ้ง หรือไส้ทุเรียน ซึ่งอาจจะมีไข่หรือไม่มีไข่ก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้มีไส้แปลกๆ โผล่มาเยอะแยะ เช่น ไส้แปดเซียน ไส้ชาเขียว ไส้แคลิฟอร์เนีย ฯลฯ แต่ว่ากันตามตรงผมคิดว่าอร่อยที่สุดน่าจะเป็นตัวพื้นๆ อย่างไส้เม็ดบัวนี่แหละ
โดยปกติแม่จะซื้อขนมไหว้พระจันทร์เจ้าอร่อยไส้เม็ดบัวไข่ 1 มาให้ผม แต่ไม่ว่าจะไส้อะไรก็ตามที คนที่กินจะทราบดีว่าถ้าเป็นแบบไข่ 1 บางทีไข่แดงมันไม่อยู่ตรงกลาง ผ่าแล้วบางชิ้นบางเสี้ยวไม่เจอไข่ ขณะที่บางชิ้นไข่เยอะแยะเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งไม่ทราบว่านึกอยากจะลองหรือเผลอยังไงแม่ซื้อเม็ดบัว "ไข่ 2" มาให้ ก็นึกดีใจว่าคราวนี้ผ่ายังไงก็ต้องเจอไข่แดงแน่ๆ ปรากฏว่าผ่าแล้วเจอไข่จริงๆ ครับ แต่กลายเป็นว่าบางชิ้นมีแต่ไข่แดงเบียดจนเนื้อขนมไหว้พระจันทร์เหลือนิดเดียว กินแล้วก็ไม่ค่อยสมดุล รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเอาใจยากเหมือนกัน คนซื้อเองก็บ่นว่าไข่เยอะเกินไป ไม่อร่อย
ในทางกลับกันบางคราวพวกไข่ 1 ไข่ 2 เกิดหมดก็ต้องซื้อขนมไหว้พระจันทร์แบบไม่มีไข่ ...มันก็ไม่อร่อยอีกแหละ รู้สึกโล้นๆ ฝืดคอ กลายเป็นว่าไม่มีความพอดี หลังๆ จึงแทบจะเป็นกฎเหล็กว่าถ้าจะซื้อต้องเป็น "เม็ดบัวไข่ 1" เท่านั้น
ผมนึกดูแล้วก็เอาไปเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นครับ หลายคนชอบเล่นหุ้นแบบลุ้นใจหายใจคว่ำ บางคราวก็กระโดดเกาะรถไฟด้วยกลัวว่าจะตกขบวน แต่ก็ใจสู้นะครับ ไปผิดทางก็ไม่มีถอย ไม่มีการ cut loss หุ้นขึ้นก็ดีใจได้ความสนุกสนานไป ผมมองว่านี่คือ "ไข่แดง" ที่อยู่ในขนมไหว้พระจันทร์ ครับ
เนื้อขนมไหว้พระจันทร์คือผลตอบแทนจากการลงทุน ส่วนไข่แดงก็คือ ความสนุกที่ได้จากการลุ้นในระยะสั้น
ไข่แดงมากก็เบียดเนื้อขนม ไข่แดงน้อยก็ไม่อร่อย
เรารู้อยู่แล้วว่าการลงทุนแนวน่าเบื่อๆ แบบเน้นคุณค่าหรือ value investment (VI) ทำให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลายเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก และทำให้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กลายเป็น idol ของนักลงทุนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคน แต่คนส่วนมากก็ไม่อยากกินขนมไหว้พระจันทร์โล้นๆ ที่ไม่มีไข่ (ลงทุนให้รวย แต่อดสนุกเพราะไม่ได้ลุ้นหุ้นรายวัน) บางคนอดทนรอไม่ได้ พอเห็นหุ้นขยับก็อยากจะขยับตัวตาม ทั้งที่รู้ว่าเป็น VI ต้องอดทนรอแต่ใจมันรอไม่ไหว
ในเมื่อมันทนไม่ไหวก็ขออัดเต็มๆ ซื้อขายหุ้นแทบทุกวัน เผลอๆ ซื้อเช้าขายเย็นด้วยซ้ำ เก็งถูกบ้างผิดบ้างแต่ขอให้ได้ลุ้น ถ้าเป็นขนมไหว้พระจันทร์ผมยกให้เป็นเม็ดบัวไข่ 2 เลย ผ่าออกมาหาเนื้อขนมไม่ค่อยเจอ (ผลตอบแทนแย่เพราะเก็งผิดทางบ้าง ไม่ยอม cut loss บ้าง เสียไปกับค่าคอมมิชชั่นบ้าง) คิดว่าไข่เยอะแล้วจะอร่อย แต่ออกมาไม่อร่อยครับ เพราะไม่มีผลตอบแทนให้กิน
ผมเองก็เลยคิดว่าเดินสายกลางก็น่าจะไม่เลวสำหรับคนที่ไม่ชอบอดทนรอนานๆ ก็วิเคราะห์และซื้อหุ้นตามแนวทางของ VI เพียงแต่เหลือเงินติดตัวไว้บ้าง เผื่อหุ้นลงจะได้ซื้อเพิ่มอีก และเมื่อหุ้นขึ้นได้ระยะหนึ่งก็ขายทำกำไรออกมาบ้าง นัยว่าเอามาลดต้นทุนของหุ้นในส่วนที่ยังไม่ขาย
แนวคิดนี้อาจไม่เหมือนกับแนวคิดแบบ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ ที่ให้อดทนรอจนได้จังหวะแล้วก็ซัดให้เต็มแรง แต่แนวคิดนี้ช่วยประนีประนอมระหว่างผลตอบแทนและความสนุก เพราะถ้าเป็นคนชอบความสนุก ชอบการเคลื่อนไหวลงทุนแล้วเกิดเบื่อก็จะเลิกไปเสียก่อน ก็แนะนำให้กิน "เม็ดบัวไข่ 1" นี่แหละ แต่ถ้าใครไม่ห่วงเรื่องสนุกก็ยินดีด้วยครับ คุณเยี่ยมมาก
อ้อ ในภาพประกอบเป็นขนมไหว้พระจันทร์ของ S&P นะครับ คนละเจ้ากับที่แม่ผมซื้อให้กินสมัยก่อน แต่ก็อร่อยเหมือนกัน
บทความดีครับ
ตอบลบ