ในสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ ปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง โดยเฉพาะฝุ่น “ขนาดจิ๋ว” ที่มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร หรือที่เรียกกันว่า PM 2.5 เราจึงควรถือโอกาสนี้ศึกษาและหาทางรับมือกับฝุ่นพิษดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับบทความนี้จะเป็นเรื่องราวของตัวเลขที่เกี่ยวข้อง ส่วนประเด็นอื่น ๆ เช่น พิษภัยของฝุ่น, หน้ากากกรองอนุภาค ฯลฯ คิดว่าท่านทั้งหลายคงหาอ่านได้ไม่ยาก
[ข้อมูลต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเรียบเรียงและอธิบายด้วยภาษาง่าย ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ผู้อ่านควรตรวจสอบกับแหล่งความรู้ทางวิชาการก่อนนำไปใช้อ้างอิง]
แค่ไหนถึงอันตราย
ความจริงแล้วมลพิษในอากาศมีอยู่มากมาย แต่ที่กำลังคุกคามและสร้างปัญหาใหญ่อยู่ก็คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matter หรือ PM) โดยเฉพาะ PM 2.5 หรือฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ด้วยขนาดที่เล็กมาก ๆ เพียงประมาณเศษ 1 ส่วน 30 ของขนาดเส้นผมคนเรา ฝุ่นละอองนี้จึงสามารถหลุดรอดผ่านการดักจับของระบบทางเดินหายใจเข้าสู่เส้นเลือด และไปทำอันตรายต่อร่างกายได้มาก โดยองค์การอนามัยโลกได้จัดให้ฝุ่น PM 2.5 เป็นสารก่อมะเร็งอย่างหนึ่งด้วย
ปริมาณฝุ่นสามารถวัดในหน่วย ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร โดยวัดเป็นค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง หรือค่าเฉลี่ย 1 ปี ส่วนการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยว่าระดับใดจะเริ่มเป็นอันตรายนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ดังตารางด้านล่างนี้
ดัชนีชี้อันตราย
ในอีกทางหนึ่ง นอกจากการวัดปริมาณฝุ่นเป็น ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แล้ว ยังมีการวัดค่าในรูปแบบของดัชนีด้วย อย่างเช่น AQI หรือ Air Quality Index ซึ่งเป็นดัชนีหรือ “ตัวเลข” ที่คำนวณขึ้นมาและสามารถเทียบเคียงกับปริมาณฝุ่น PM 2.5 ตามหน่วยวัดไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรได้ (ต่อไปนี้จะขอเรียกย่อ ๆ ว่า ไมโครกรัมฯ เพื่อไม่ให้ยืดยาวเกินไป)
ข้อควรสังเกต สำหรับชาวบ้านทั่วไป เมื่อได้ยินค่าตัวเลขจากสื่อต่าง ๆ เช่น 50, 70 หรือ 110
- ให้พิจารณาว่าตัวเลขดังกล่าวเป็น ค่าดัชนี (AQI) หรือ ปริมาณฝุ่น (ไมโครกรัมฯ) กันแน่ เพราะนี่เป็นการพูดถึงสิ่งเดียวกันในสองรูปแบบ และแน่นอนความหมายนั้นแตกต่างกัน
- หากเป็นค่า AQI ท่านต้องตระหนักว่าเป็น AQI ของใคร? อย่างตารางทั้งสองด้านล่างนี้ ฝั่งซ้ายเป็นตาราง AQI ของไทยจากกรมควบคุมมลพิษ ส่วนฝั่งขวาเป็นตาราง AQI ของสหรัฐอเมริกาจากเว็บไซต์ Wikipedia
- ค่า AQI อาจไม่บ่งบอกถึงปริมาณฝุ่น PM 2.5 เสมอไป เพราะดัชนีดังกล่าวคำนวณมาจากสารพิษในอากาศหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น SO2, NO2, ก๊าซโอโซน ฯลฯ แล้วอิงตามตัวที่มีปริมาณเป็นพิษมากที่สุด ดังนั้น ค่า AQI ที่สูง ณ เวลาหนึ่ง ๆ อาจเป็นผลมาจากสารพิษตัวอื่นที่ไม่ใช่ฝุ่น PM 2.5 ก็ได้
- ปริมาณฝุ่นที่วัดเป็นค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง หมายถึง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการวัดปริมาณฝุ่นย้อนหลังไปเป็นเวลา 24 ชั่วโมง (นับจากเวลาที่มีรายงานออกมา) จึงอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน แต่ก็มีข้อดีที่ความแม่นยำ ตัวอย่างเช่น การวัดค่าอากาศเฉลี่ยย้อนหลัง 24 ชั่วโมงอาจมีความคลาดเคลื่อนในระดับ 0.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แต่การวัดค่าเฉลี่ยย้อนหลังเพียง 1 ชั่วโมงอาจมีความคลาดเคลื่อน 1.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ส่วนการวัดเพียงครั้งเดียว (ไม่มีการเฉลี่ย) ก็จะยิ่งคลาดเคลื่อนมากไปกว่านั้น
สังเกตว่า AQI = 50 ของไทยจะเทียบเท่าฝุ่น PM 2.5 จำนวน 37 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ส่วน AQI = 50 ของอเมริกาจะเทียบเท่า 12 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ถ้าอยากคุยให้รู้เรื่องตรงกันแน่ ๆ ก็เรียกเป็นไมโครกรัมฯ ไปเลย จะได้ลดความสับสน
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ควรเจาะจงวัดปริมาณฝุ่น PM 2.5 เป็นไมโครกรัมฯ ไปเลย และถ้านับตามมาตรฐานไทย ทุกคนจะปลอดภัย เมื่อปริมาณฝุ่นไม่เกิน 37 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น