"คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ
มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้เธอแก้
รู้ก็รู้ว่าชอบ แต่ใจมันพูดไม่ได้
แต่ถ้าเธอช่วยมันก็ง่าย อะไรก็คงไม่แย่"
คิดว่าหลายคนน่าจะเกิดทันยุคของ "แร็พเตอร์" และเคยได้ยินเพลงดังอย่าง "คิดถึงเธอ" เพลงนี้นะครับ
คนเรามักจะมีความมั่นอกมั่นใจบางอย่างอยู่ลึกๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้กระทั่งคนที่ขาดความมั่นใจก็ยังมีความ "มั่นใจ" ว่าตัวเองขาดความสามารถหรือมีความบกพร่องบางอย่าง ไม่ว่าคนอื่นจะพูดปลอบใจมากมายเท่าใด ในเมื่อเขาคิดเอาไว้แล้วว่าใช่ เขาก็จะบอกกับตัวเองว่า "ต้องใช่แน่ๆ"
ความมั่นใจในระดับที่เกินควร ต่อให้มีความรู้ประกอบด้วย ก็ยังอาจเป็นสิ่งที่อันตรายอยู่ดี เพราะบางครั้งตรรกะของเราเองนี่แหละที่พาซวย
ตรรกะที่ผิดพลาด
ผมคิดว่าคนส่วนมากน่าจะเคยพบเจอหรือได้ยินเรื่องราวที่ "กลับตาลปัตร" เหตุการณ์ทำนองนี้มักจะเริ่มต้นแบบนึง จากนั้นก็พลิกผันไปแบบหน้าด้านๆ ชนิดที่เราแทบตกเก้าอี้เลยทีเดียว ความพลิกผันเหล่านี้ไม่ใช่ใครเป็นคนทำ แต่เป็น "ตรรกะ" ของเราเองต่างหากที่ไม่ถูกต้อง ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้นะครับ
น้องหวานหวาน รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปทานข้าวเย็นพร้อมเปิดตัวกับพ่อแม่ของแฟนหนุ่ม เธอจึงออกไปทำผมที่ร้านตั้งแต่เช้า เตรียมสวยเต็มที่ว่างั้น ปรากฏว่าแฟนหนุ่มส่งข้อความมาตั้งแต่เช้าขอเปลียนเวลาเป็นทานข้าวกลางวันแทน
โชคร้ายที่หวานหวานลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน ผลก็คือ เธอกลับมาเห็นข้อความนั้นตอนบ่ายสอง... ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง ฝ่ายชายโกรธที่หวานหวานไม่ไปตามนัด ทำให้พ่อแม่ของเขาไม่พอใจ ส่วนหวานหวานก็โกรธที่แฟนเลื่อนนัด แถมยังส่งมาเป็นข้อความแทนที่จะโทรหากันให้รู้เรื่อง ต่างฝ่ายต่างขุดเรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยความโมโห ที่สุดแล้วทั้งสองคนก็เลิกกัน
ตรรกะที่ผิดพลาดของเรื่องนี้คือ ฝ่ายชายส่งข้อความจากนั้นก็ "คิดเอาเอง" ว่าฝ่ายหญิงต้องได้รับข้อความ ขณะเดียวกับที่ฝ่ายหญิงก็ออกไปทำธุระโดยไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย และ "คิดเอาเอง" ว่าคงไม่มีอะไร เพราะยังอีกนานกว่าจะถึงเวลานัด
ตรรกะของแต่ละฝ่ายนั้นถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง การส่งข้อความซึ่งถือเป็นการสื่อสารทางเดียวแล้วอนุมานว่าอีกฝ่ายจะต้องได้อ่านข้อความ "ทันที" เป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้องเสมอไป
ขณะเดียวกันในยุคที่โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่ 5 ของเราไปเสียแล้ว การลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านและคิดว่าคงไม่มีใครติดต่อเรา ก็อาจไม่ถูกต้องซะทีเดียว ตรรกะที่ไม่ถูกต้องของน้องหวานหวานแม้จะไม่ใช่ตัวเริ่มเรื่องราว แต่ก็สร้าง "จุดอ่อน" ให้กับเหตุการณ์และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้
บางครั้งตรรกะที่ผิดพลาดก็ไม่ถึงกับทำให้ชีวิตเราพลิกผัน เพียงแต่สะท้อนออกมาในสถานการณ์ต่างๆ เช่น พอเราได้ยินน้องบอกว่าสอบตก เราก็ดุทันที "ทำไมไม่ขยันอ่านหนังสือ" สังเกตว่าตรรกะของเราคือ ไม่อ่านหนังสือจึงสอบตก ทั้งที่จริงน้องอาจขยันแล้วเพียงแต่เผอิญไม่สบายในวันสอบ หรือข้อสอบปีนี้ออกยากเกินไป ที่จริงมีเด็กสอบตกกันเป็นร้อยๆ คน
ดังนั้นแทนที่เราจะเริ่มต้นด้วยการดุด่า เราน่าจะถามไปว่าทำไมถึงสอบตก ก็จะได้คำอธิบายกลับมา หรือถ้าน้องขี้เกียจจริงเขาก็จะสำนึกได้ด้วยตัวเอง
ตรรกะในการลงทุน
ในโลกของการลงทุน ตรรกะที่ไม่ถูกต้องและนำไปสู่หายนะมีให้เห็นอยู่เสมอ ที่น่าแปลกใจคือ นักลงทุนดูเหมือนจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังคงพยายามใช้ตรรกะผิดๆ ในการ "เสี่ยงโชค" จากตลาดหุ้นต่อไป
มีคนจำนวนมากคิดว่าตัวเองลงทุนใน "หุ้นพื้นฐานดี" พอถามว่าหุ้นพื้นฐานดีเป็นอย่างไร บ้างก็ตอบว่าเป็นหุ้นตัวใหญ่ บ้างก็ตอบว่าเป็นหุ้นที่กระทรวงการคลังถือ บ้างก็ตอบว่าเป็นหุ้นที่ราคาอยู่ในขาขึ้น นี่คือตัวอย่างของตรรกะที่ไม่ถูกต้อง
ลองคิดถึงกรณีบริษัทถ่านหินยักษ์ใหญ่ถูกศาลแพ่งตัดสินให้แพ้คดี 3 หมื่นล้านบาท คิดถึงกรณีบริษัทสายการบินชั้นนำของประเทศมีผลกำไรลุ่มๆ ดอนๆ และถูกครหาเรื่องความโปร่งใส หรือคิดถึงหุ้นปั่นต่างๆ ที่ถูกลากขึ้นมาอย่างช้าๆ จากนั้นก็ "ทุบ" กันแบบสามวันจบเกม
หุ้นตัวใหญ่จำนวนมากเป็นหุ้นพื้นฐานดี แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัว แม้ในบรรดาตัวที่จัดว่าพื้นฐานดี ก็ยังดีมากน้อยไม่เท่ากัน
ในส่วนของหุ้นที่กระทรวงการคลังถือก็เหมือนกัน เราอาจเชื่อในความมั่นคงของตัวบริษัท แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีว่าบริษัทจะไม่ขาดทุน บางทีบริษัทอาจจะขาดทุนบักโกรกอยู่นานก่อนที่รัฐบาลจะอัดฉีดเงินก้อนใหม่เข้ามา ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นนักลงทุนก็แทบหมดตัวแล้ว
นอกจากตรรกะเรื่องหุ้นพื้นฐานดีแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่คนเข้าใจผิดกันมาก คือ การเข้าซื้อตอนที่หุ้นตก
หุ้นตกไม่ใช่หุ้นถูก
เพื่อนร่วมงานของผมมักจะกระดี๊กระด๊าในวันที่หุ้นตก พวกเขามองว่านี่คือโอกาสดีสำหรับการซื้อหุ้น เพราะพวกเขามองว่า "หุ้นตก = หุ้นถูก"
งั้นถ้าผมสมมติต่อว่าวันพรุ่งนี้หุ้นตกอีกก็แสดงว่าหุ้นถูกลงไปอีกใช่มั๊ยครับ แล้วถ้ามันตกต่อเนื่องกัน 4 วัน หรือ 4 เดือน คุณยังคิดว่าราคาหุ้นที่เข้าซื้อ ณ วันแรกที่หุ้นเริ่มตกยังคง "ถูก" อยู่หรือไม่ครับ
ตรรกะที่ว่าหุ้นตกเท่ากับหุ้นถูกไม่เป็นจริงเสมอไป มันอาจจะถูกกว่าเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันถูกเพียงพอที่จะเข้าซื้อ โดยเฉพาะถ้าเป็นการลงทุนในระยะยาว การซื้อ โดยอัตโนมัติ เพราะเห็นว่าหุ้นตก หรือขาย โดยอัตโนมัติ เพราะเห็นว่าหุ้นขึ้น อาจทำให้เราผิดหวังได้
แม้กระทั่งตรรกะของ VI หรือนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่บอกว่า "ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าให้มากๆ แล้วราคาหุ้นจะสะท้อนคุณค่าของกิจการขึ้นมาเอง" ก็ยังไม่ถูกต้อง 100% เสมอไปอย่างน้อยก็ในกรอบเวลาหนึ่งๆ บางบริษัทอาจมีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าอยู่เป็นสิบปีก็เป็นไปได้ เมื่อผ่านไป 4-5 ปี ราคาหุ้นที่ยังถูกเรื้อรังอาจทำให้เราเริ่มตั้งคำถามว่า เงินทุนของเรามัวไปทำอะไรอยู่
VI ชั้นดีจะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่แค่ตรรกะของพวกเขาทำงานได้ "เป็นส่วนมาก" พวกเขาก็รวยได้แล้ว การมั่นใจเกินควรและ "ตีแตก" กับหุ้นตัวหนึ่งตัวใดด้วยความหวังว่าจะรวยเละรวยเร็ว อาจกลายเป็นการเดิมพันชีวิต ซึ่งนั่นก็จะทำให้การลงทุนกลายเป็นการพนันไปได้ ทั้งที่เรากำลังถือตรรกะของ VI อยู่แท้ๆ
สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่การหาตรรกะที่ถูกต้อง 100% แต่เป็นการใช้ตรรกะที่ถูกต้องในระดับที่เพียงพอ มีการประเมิน downside ว่าความเสียหายอาจเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนหากว่าตรรกะของเราผิดพลาด รวมทั้งมองหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย
อย่าเอาแต่ "คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ" เพราะบางทีมันก็อาจจะ "ไม่ใช่" ครับ
ภาพประกอบจาก siamsouth.com และ kapook.com