เมื่อพูดถึงคน "ตกยุค" เราก็มักนึกถึงคนที่ล้าหลังไม่ทันยุคทันสมัย ถ้าย้อนไปในวัยเรียน คนที่ "สอบตก" ก็จะต้องเรียนซ้ำ สอบซ่อม หรือไม่ก็ทำรายงานเพิ่ม อะไรก็ว่ากันไป ส่วนในตลาดหุ้น "ตกรถ" ก็หมายถึง เหตุการณ์ที่หุ้นขึ้น! แต่เราไม่ดีใจ เพราะไม่ได้ซื้อไว้
ดูเหมือนว่าการ "ตก" อะไรซักอย่างน่าจะเป็นเรื่องไม่ค่อยดี แต่นั่นอาจไม่ใช่สำหรับ "หุ้นตกขอบ" ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังครับ
ตกขอบแบบ "รอเข้าก๊วน"
หุ้นตกขอบมีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ คือ "หุ้นที่รอเข้าก๊วน" ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างก๊วนของดัชนี SET50 ก็แล้วกัน
หลายคนคงรู้จักดัชนี SET50 กันดีอยู่แล้วว่าเป็นหุ้นตัวใหญ่ 50 ตัวแรกของตลาด หุ้น 50 ตัวที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าอยู่แล้วอยู่เลยนะครับ โดยปกติตลาดหลักทรัพย์เขาจะจับหุ้นมาเรียงลำดับและ "เลือกใหม่" ทุกๆ 6 เดือน จึงเป็นโอกาสให้หุ้นตัวใหม่ๆ ได้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาใน SET50 บ้าง
ทั้งนี้การได้อยู่ในดัชนี SET50 จัดได้ว่าเป็นมงคลต่อผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก เพราะหลายกองทุนกำหนดเกณฑ์ไว้ว่าจะลงทุนเฉพาะหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 เท่านั้น ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติซึ่งมองหา "บริษัทใหญ่ในตลาดเล็ก" ก็อาจตีกรอบตัวเองไว้กับดัชนี SET50 เช่นเดียวกัน หุ้นที่อยู่ใน SET50 จึงเป็นที่หมายตาของนักลงทุนสถาบัน และนั่นก็ย่อมทำให้หุ้นเป็นที่ต้องการของตลาด (และมักจะส่งผลดีต่อราคาหุ้น รวมทั้งสภาพคล่องในการซื้อขายด้วย)
หุ้นตกขอบ สำหรับกรณีนี้ก็คือ หุ้นที่ "เกือบ" ได้ร่วมก๊วนเข้าไปอยู่ในดัชนี SET50 (เช่น หุ้นที่มาจ่ออยู่ในลำดับที่ 51-52) คิดแบบชาวบ้านๆ ก็ต้องบอกว่าเจ้าหุ้นพวกนี้แหละมีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ SET50 ในครั้งต่อไป
ความแตกต่างก็คือ หุ้นที่อยู่ในก๊วนตั้งแต่แรก นั้น ฝรั่งและสถาบันเขาเห็นมันมานานแล้ว ใครอยากซื้อก็อาจจะซื้อไปแล้ว ไม่มีอะไรใหม่น่าตื่นเต้น ในขณะที่ หุ้นที่เพิ่งเข้าก๊วน เป็นสินค้าตัวใหม่ ถ้าคุณตื่นเต้นกับกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นล่าสุดหรือโทรศัพท์ผลไม้รุ่นล่าสุด ไม่ว่าจะซื้อมันหรือไม่ อย่างน้อยคุณก็คงให้ความสนใจกับมันใช่มั๊ยล่ะครับ
...และโอกาสที่คุณจะซื้อหุ้นเข้าก๊วนใหม่ได้ "ก่อน" ที่ราคาจะวิ่งขึ้น ก็คือ ซื้อตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็น "หุ้นตกขอบ" อยู่
หุ้นตกขอบ กับ นักฟุตบอล
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเปรียบเทียบเรื่องหุ้นกับฟุตบอลครับ หากเราดูฟุตบอลแมทช์หนึ่งๆ ก็จะเห็นว่านักฟุตบอลแต่ละทีมที่วิ่งอยู่ในสนามมี 11 คน ทว่าพอมองไปที่ข้างสนามเราจะเห็นนักฟุตบอลอีก 6-7 คนนั่งเป็นตัวสำรองและรอคอยโอกาสของพวกเขาอยู่
11 คนในสนามนั้นได้โอกาสไปแล้ว โดยปกติพวกนี้เป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงระยับ เป็น "ตัวจริง" ที่กำลังโชว์ฝีเท้าให้สมราคา ในขณะที่ "ตัวสำรอง" มักเป็นนักฟุตบอลฝีเท้ารองๆ ลงมา ค่าตัวก็มักจะถูกกว่าพวกตัวจริง ทั้งที่ฝีเท้าอาจไม่ต่างกันเท่าไหร่
นักเตะตัวสำรองอาจต้องนั่งรอโอกาสอยู่เป็นนานสองนาน หวังอยู่ในใจว่าจะได้ลงไปโชว์ฝีเท้าบ้าง ซึ่งบางเกมพวกเขาก็ถูกเปลี่ยนตัวลงไปวาดลวดลาย แต่บางทีก็ต้องนั่งแกร่วจนเกมจบก็มีบ่อยไป
สิ่งสำคัญ คือ ไม่ใช่ตัวสำรองทุกคนที่จะได้ลงสนาม ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเราจะตาแหลมพอที่จะมองออกหรือเปล่าว่า ตัวสำรองคนไหนที่มักจะได้โอกาสลงสนาม? และตัวสำรองคนไหนที่จะก้าวขึ้นมาจับจองตำแหน่งตัวจริงได้อย่างถาวร!?
ถ้านักฟุตบอลซื้อขายได้เหมือนหุ้น คุณคงอยากซื้อ เดวิด เบคแคม เก็บไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังนั่งสำรองและยังมีค่าตัวไม่แพง ซึ่งนั่นก็คงทำกำไรได้มากกว่าจะมาซื้อตอนที่กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้วจริงมั๊ยครับ เวลาที่ซื้อหุ้น คุณก็น่าจะอยากมองหาหุ้นที่ "กำลังจะ" เปล่งประกาย เพราะคุณต้องการ "ว่าที่" หุ้นหลายเด้ง ไม่ใช่หุ้นที่ทำหลายเด้งไปเรียบร้อยแล้ว
ตกขอบจาก "Analyst Coverage"
นอกจากดัชนี SET50 แล้ว ยังมีก๊วนอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น ดัชนี SET100, ดัชนี MSCI รวมทั้งหุ้นกลาง-เล็กที่บรรดานักวิเคราะห์ไม่ได้ cover ไว้ในรายชื่อ ซึ่งนี่ก็เป็นหุ้นตกขอบอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
หลายคนซื้อหุ้นตามบทวิเคราะห์ หากเราพบหุ้นดีที่ไม่มีโบรกฯ ไหนให้ความสนใจเลยก็เท่ากับว่าเราตัดคู่แข่งออกไปได้ไม่น้อย
หุ้นบางตัวผลประกอบการ "ดีมาก" แต่มีสภาพคล่องน้อย แบบนี้โบรกฯ มักจะไม่วิเคราะห์ เพราะเมื่อปริมาณการซื้อขายน้อย ค่าคอมมิชชั่นก็น้อยตามไปด้วย วิเคราะห์ไปก็ไม่คุ้ม อย่างหุ้นขนมปังที่มีผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าคลิกดู Analyst Consensus คุณก็อาจแปลกใจที่ไม่เห็นมีใครวิเคราะห์มันเลย
ที่ว่ามานี้อยากให้เห็นว่าหุ้นที่อยู่นอก Analyst Coverage อาจมีของดีซุกซ่อนอยู่ ถ้าเราขยันกว่าคนอื่นและวิเคราะห์เป็นก็อาจจะพบมันก่อนใครๆ
ผมจึงมักดีใจเสมอถ้าพบ "หุ้นตกขอบ" ชั้นดีที่นักวิเคราะห์ไม่ค่อยสนใจ ข้อดีคือมันเป็นหุ้นชั้นเยี่ยมที่ไม่ค่อยมีคนแย่งซื้อ กับอีกอย่างคือหากวันหนึ่งผู้คนเริ่มหันมาสนใจมัน ราคาหุ้นและค่า P/E ก็อาจพุ่งขึ้นเกินกว่าที่เราคาดฝันเลยทีเดียว
...เขียนมาซะยืดยาวก็ยังไม่จบ ไว้มาว่าต่อเรื่องหุ้นตกขอบรูปแบบอื่นๆ คราวหน้าแล้วกันครับ