แม้อารยธรรมในลำดับที่สูงขึ้นจะไม่ได้การันตีชัยชนะ (เช่น นักลงทุนที่เลือกหุ้นเก่งอาจร่ำรวยโดยที่ไม่เคยต้องจัดพอร์ตอะไรทั้งสิ้น) แต่มันก็ให้โอกาสที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะบางทีนักลงทุนอาจรวยยิ่งขึ้นไปอีก หากพวกเขาเลือกหุ้นดีแถมยังจัดพอร์ตและบริหารพอร์ตเก่งด้วย
เริ่มต้นจากสามัญ
สำหรับการซื้อหุ้นรายตัว นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจากความคาดหวังที่พวกเขามีต่อหุ้นตัวนั้น (เช่น กำไรต่อหุ้น, ราคาหุ้น หรือเงินปันผล) พวกเขาจดจ่อและไม่รู้สึกว่ามีเหตุผลอันใดที่จะไปชะโงกมองหุ้น บี. ในขณะที่กำลังจะซื้อหุ้น เอ. และในช่วงเวลาเดียวกันหากมีหุ้นน่าสนใจหลายตัว พวกเขาก็จะพิจารณาหุ้นเหล่านั้นไปทีละตัวอย่างเป็นอิสระจากกัน แม้ที่สุดแล้วเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจถือครองหุ้นหลายตัว แต่ก็จะไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการจัดพอร์ตโดยตั้งใจ
ในทางตรงข้าม หากนักลงทุนใช้มุมมอง “ภาพรวม” โดยมีการวางแผนว่าจะซื้อหุ้นทั้งหมดกี่ตัว แต่ละตัวคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนทั้งหมด อย่างนี้ก็จะเป็นการจัดพอร์ต และการตัดสินใจซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งก็จะคำนึงถึงทิศทางโดยรวมของพอร์ตเป็นสำคัญ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นการบริหารพอร์ตก็ได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ การจัดพอร์ตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตัวสินทรัพย์ (ตัวหุ้น หรือสินทรัพย์อื่น ๆ) ขณะที่การบริหารพอร์ตนั้นเกี่ยวข้องกับการซื้อขายปรับเปลี่ยนสัดส่วนของพอร์ต ซึ่งเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
อาจกล่าวได้ว่า เมื่อมีการจัดพอร์ตแล้ว หุ้นหรือสินทรัพย์ทุกตัวที่เราซื้อเข้ามาจะต้องมีภารกิจสนับสนุนภาพรวมของพอร์ต ไม่ใช่ซื้อเพียงเพราะคิดว่า “มันน่าจะได้กำไร” และความจริงอาจกลับกันเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากบางกรณีเราจำเป็นต้องปฏิเสธหุ้นดีที่ไม่สอดคล้องและไม่ส่งเสริมภาพรวมของพอร์ตตามทิศทางที่เราวางไว้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สมมติเราจัดพอร์ตเน้นสร้างกระแสเงินสดจากเงินปันผล ในกรณีนี้เราอาจต้องตัดใจ ไม่ซื้อ หุ้นโตเร็วที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลถึงแม้จะเห็นแนวโน้มราคาหุ้นเป็นขาขึ้นก็ตาม นอกเสียจากเราจะออกแบบให้มีหุ้นโตเร็วสัก 1-2 ตัว เพื่อเพิ่มการเติบโตให้กับพอร์ต ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหุ้นโตเร็วก็จะ “มีภารกิจ” และสามารถเข้ามาอยู่ในพอร์ตได้
การจัดพอร์ต: step-by-step
สิ่งแรกที่นักลงทุนควรทำก่อนจะซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ได้แก่ การกำหนดความมุ่งหมายของการจัดพอร์ตหุ้น ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่ความเป็นไปได้ในหลากหลายมิติ เช่น
- จำนวนหุ้นในพอร์ต – จัดพอร์ตแบบมุ่งเน้นโดยมีหุ้นน้อยตัว หรือจัดพอร์ตแบบกระจายโดยถือครองหุ้นจำนวนมาก
- วัตถุประสงค์ – เน้นสร้างกระแสเงินสด หรือเน้นการเติบโต
- ธีมที่ใช้ลงทุน – เน้นอุตสาหกรรมที่ตนเองเชี่ยวชาญ, เน้นธุรกิจที่อยู่ในแนวโน้มหลัก (เมกะเทรนด์), เน้นกิจการที่ใช้เงินทุนน้อย หรือลงทุนแบบกระจาย เป็นต้น
หลังจากที่นักลงทุนออกแบบพอร์ตของตนเองเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการคัดเลือกหุ้นและทำการวิเคราะห์ เพื่อระบุรายชื่อหุ้น รวมถึงจำนวนและราคาที่จะเข้าซื้อ โดยจำนวนหุ้นในรายชื่อของเราอาจมี มากกว่า จำนวนหุ้นที่ตั้งใจจะซื้อเข้ามาในพอร์ตจริง ๆ ก็ได้ เนื่องจากระหว่างที่ทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตนั้น หุ้นที่เราสนใจบางตัวอาจปรับตัวขึ้นจนมีราคาแพงและหมดความน่าสนใจ เราจะได้มีตัวเลือกสำรองที่สามารถหยิบใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปคัดเลือกและวิเคราะห์หุ้นใหม่อีกรอบ
เมื่อมีรายชื่อเรียบร้อยแล้ว นักลงทุนก็มีทางเลือกว่าจะซื้อหุ้นทั้งหมดในคราวเดียว หรือใช้วิธี “แบ่งไม้” เพื่อทยอยซื้อ หากเลือกซื้อหุ้นทั้งหมดในคราวเดียว นักลงทุนมักต้องเผชิญกับความเครียดที่สูงกว่า ซึ่งหลาย ๆ ครั้งก็นำไปสู่พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น การลังเลหรือเกี่ยงราคาหุ้น แต่ข้อดีก็คือ การบริหารพอร์ตทำได้ง่ายกว่า เพราะไม่มีปัญหาคาราคาซังซื้อหุ้นได้ไม่ครบ ในทางตรงข้ามการแบ่งไม้ทยอยซื้ออาจทำให้เกิดปัญหาได้หุ้นไม่ครบจำนวน ทำให้นักลงทุนต้องใช้เวลาหรือใช้เงินมากกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่ก็มีข้อดีในเชิงจิตวิทยาตรงที่นักลงทุนจะไม่รู้สึกเครียดมากนักในการซื้อหุ้นแต่ละครั้ง
สรุปขั้นตอนได้ว่า
1) กำหนดความมุ่งหมายและออกแบบพอร์ตหุ้น
2) คัดเลือกและทำรายชื่อหุ้นที่จะซื้อ
3) ลงมือซื้อหุ้นตามจำนวนและราคา รวมถึงวิธีการที่วางแผนไว้
ทางเลือกในการบริหารพอร์ต
โดยธรรมชาติหลังจากที่จัดพอร์ตเรียบร้อย เมื่อเวลาผ่านไป สัดส่วนของหุ้นแต่ละตัวที่อยู่ในพอร์ตก็จะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น นักลงทุนจึงมักจำเป็นต้องปรับพอร์ต ซึ่งทางเลือกหลัก ๆ ได้แก่
- ไม่ทำอะไรเลย และปล่อยให้พอร์ตเปลี่ยนสัดส่วนไปตามธรรมชาติ
- ปรับสัดส่วนกลับไปที่จุดเริ่มต้น (rebalancing)
- ปรับหุ้นออกจากพอร์ต
- เปลี่ยนตัวหุ้น
ทั้งสี่ทางเลือกนี้ยืนอยู่บนฐานของความเชื่อและมุมมองที่แตกต่างกัน การตอบสนองแบบอัตโนมัติเช่นว่า “เดี๋ยวครบครึ่งปีแล้วจะต้อง rebalance พอร์ต” หรืออะไรทำนองนั้น อาจไม่ใช่วิธีที่ดีเสมอไป โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า นักลงทุนที่มีความรอบคอบจะรอดูสถานการณ์จริงจากนั้นจึงค่อยพิจารณาว่าทางเลือกไหนเป็นทางที่ดีที่สุด
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง เราจะสมมติพอร์ตหุ้นเริ่มแรก 1 ล้านบาท ที่ประกอบด้วยหุ้น 4 ตัว ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน ได้แก่ หุ้น D1, หุ้น D2 และหุ้น D3 ซึ่งจ่ายปันผลดี และหุ้น G ซึ่งเป็นหุ้นโตเร็วหนึ่งเดียวในพอร์ต หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวผลประกอบการที่ดีเกินคาดทำให้ราคาหุ้น G ปรับตัวสูงขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ สวนทางกับหุ้น D3 ซึ่งมีราคาลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่หุ้นอีกสองตัวยังมีราคาคงเดิม หน้าตาพอร์ตหุ้นของเราก็จะเปลี่ยนไปดังนี้
[ตัว k ในแผนภาพ หมายถึง 1,000 บาท]
ในทางกลับกันถ้านักลงทุนเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นทั้งสองตัวยังคงเดิมหรือใกล้เคียงเดิม ทางเลือกที่ 2 หรือการปรับสัดส่วนกลับไปที่จุดเริ่มต้น (rebalancing) อาจเป็นความคิดที่ดี เพราะพวกเขาสามารถขายหุ้น G ออกมา 1 แสนบาท แล้วนำไปซื้อหุ้น D3 นับเป็นการขายหุ้นแพงไปซื้อหุ้นถูก ซึ่งช่วยเพิ่มแต้มต่อและทำให้สัดส่วนของพอร์ตกลับไปสมดุลอีกครั้ง
สังเกตว่าทางเลือกที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงการ “ปรับสัดส่วน” โดยอิงกับตัวหุ้นชุดเดิม นั่นหมายความว่านักลงทุนยังพอใจกับตัวหุ้นเดิมอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาเชื่อว่าหุ้น D3 มีปัจจัยพื้นฐานย่ำแย่ลงเป็นการถาวรและยากที่จะฟื้นตัวกลับมา การพิจารณาขายหุ้นตัวนี้ก็สามารถทำได้ และนี่ก็คือ ทางเลือกที่ 3 โดยขายหุ้น D3 ทั้งหมด (150,000 บาท) แล้วบริหารเงินทุนส่วนนี้ต่อ โดยไม่มีการเพิ่มหุ้นใหม่ เช่น
a) นำเงินไปพัก รอจังหวะลงทุนครั้งใหม่
b) นำเงินไปกระจายซื้อหุ้นที่เหลือทั้งสามตัว ตัวละ 50,000 บาท เท่า ๆ กัน (หรือจะให้น้ำหนักตามสัดส่วนหุ้นที่เหลือในพอร์ตก็ได้)
c) จัดสรรเงินทุนไปยังหุ้นตัวที่เหลือเพื่อสร้างสมดุลใหม่ (eliminate & rebalance)
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนจะเพิ่มหุ้นตัวใหม่ที่จ่ายปันผลดี (หุ้น D4) ที่อยู่ในรายชื่อสำรอง เพื่อทดแทนหุ้น D3 ที่ขายออกไป จากนั้นก็ปรับสัดส่วนพอร์ตให้สมดุลอีกครั้ง ถือเป็น ทางเลือกที่ 4 สะท้อนแนวคิดที่ต้องการลดสัดส่วนหุ้น G ซึ่งอาจจะเริ่มแพง ทั้งนี้ สังเกตว่าคุณลักษณะของหุ้นที่ถูกปรับออกและหุ้นที่ถูกเพิ่มเข้ามาค่อนข้างคล้ายกัน คือ เป็นหุ้นที่จ่ายปันผลดี ทำให้ยังคงรักษาคุณลักษณะโดยรวมของพอร์ตเริ่มแรกที่เราออกแบบไว้ได้
ข้อคิดสำคัญของการบริหารพอร์ตหุ้นอย่างมีกลยุทธ์ คือ
- เราบริหารเป็นพอร์ต จึงไม่ควรไปจุกจิกหรือวิตกกังวลกับกำไรขาดทุนจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป ในกรณีที่เราแน่ใจว่าทำพลาด พาหุ้นเน่าเข้าพอร์ต เราก็เพียงแต่หาจังหวะขายมันออกไปแล้วทดแทนด้วยหุ้นตัวใหม่ และ
- ต้องมีกลยุทธ์ เราควรระลึกถึงและรักษาความมุ่งหมายเริ่มต้นของพอร์ตเอาไว้เสมอ จนกว่าจะมีการออกแบบและจัดพอร์ตใหม่ ดังนั้น การซื้อขายหุ้นทุกครั้งจะต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนภาพรวมของพอร์ตตามที่ได้วางแผนไว้
- มุมมองเป็นตัวตัดสินการกระทำ แม้การบริหารพอร์ตจะมีความเป็นไปได้มากมาย แต่เราจะเลือกเส้นทางที่สอดคล้องกับมุมมองและความเชื่อของเรา
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการบริหารพอร์ตหุ้น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้การลงทุนของท่านมีความมั่นคงและมีทิศทาง สร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในแบบฉบับของตนเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น