หากพูดถึงการถูกเลิกจ้างหรือ Lay Off ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่อง "ไกลตัว" และคนที่ถูกเลิกจ้างนั้นน่าจะ "บังเอิญซวย" เหมือนกับการถูกสิ่งปฏิกูลของนกตกลงมาใส่หัว
ที่สำคัญสิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นกับเราง่ายๆ หรอกน่า!
ความคิดนี้ใกล้เคียงกับเรื่อง
ปรากฏการณ์ขอบฟ้า ที่ผมเคยกล่าวถึง นั่นคือเราจะไม่มีวันเห็นหายนะที่รออยู่พ้นไปจากขอบฟ้า ไม่ว่ามันจะใหญ่โตมโหฬารเพียงใด ความเข้าใจอันฉาบฉวยและปราศจากการเตรียมรับมือส่งผลให้หลายคนเกิดอาการช็อก เมื่อรู้ว่าตัวเอง (หรือคนใกล้ตัว) ต้องพบเจอกับสถานการณ์ดังกล่าว
ทั้งที่จริงแล้วการถูกเลิกจ้างสามารถนำเราไปสู่ความยากไร้ หรือชีวิตบทใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ขึ้นอยู่กับการเลือกของตัวเราเอง
เศรษฐศาสตร์ของการจ้างงาน
ไม่ว่าท่านจะอยากเป็นลูกจ้างชั้นดีไปตลอดชีวิต หรือคิดจะพลิกบทบาทไปเป็นนายจ้างเข้าสักวัน ท่านควรเข้าใจเศรษฐศาสตร์ของการจ้างงานเสียก่อน จะได้รับมือกับ นายจ้าง/ลูกจ้าง ได้อย่างเหมาะสม
ตามมุมมองของทฤษฎีเกม
การจ้างงาน จะเกิดขึ้นถ้าผลลัพธ์ของมันเป็นบวกต่อตัวบริษัท เช่น พนักงานสามารถผลิตสินค้า สร้างยอดขาย หรือดูแลระบบภายในบริษัทให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย หากต้นทุนของการจ้างงาน (ค่าจ้าง) ถูกกว่าผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้ มันก็มีความคุ้มค่าและการจ้างงานก็จะเริ่มขึ้น
เมื่อการจ้างงานเกิดขึ้นแล้ว ปัญหาที่ตามมา
ในแต่ละเดือน คือ บริษัทจะจ้างเราต่อไปหรือไม่? ตรงนี้เป็นสิ่งที่หลายท่านหลงลืม เพราะส่วนใหญ่แล้วเราก็จะรับเงินเดือนแล้วก้มหน้าทำงานต่อไป แต่ในความเป็นจริงที่บริษัทจ้างเราต่อเป็นเพราะว่า "ความคุ้มค่า" ของการจ้างงานนั้นยังคงมีอยู่ เขาจึงยังจ้างเราต่อไป
ในบางกรณีความคุ้มค่าอาจลดน้อยลง เช่น พนักงานได้รับการขึ้นเงินเดือนจนเริ่มมีค่าตัวแพงกว่าผลงานที่ทำได้ หรือพนักงานเริ่มออกอาการงอแงไม่อยู่ในระเบียบวินัย ทว่าบริษัทก็ยังคงเลี้ยงคนคนนั้นต่อไปอีก เพราะ
ต้นทุนของการเลิกจ้าง (เช่น เงินชดเชย ค่าใช้จ่ายในการสรรหาและฝึกพนักงานใหม่ ชื่อเสียงของบริษัท ฯลฯ) มีสูง และยังไม่คุ้มที่จะแยกทางกันเดิน แต่เมื่อไรที่ความคุ้มค่าเกิดขึ้น การเลิกจ้างก็จะมาถึง
ด้วยมุมมองนี้ หากท่านทำประโยชน์ให้บริษัทได้มาก แถมยังมีต้นทุนการเลิกจ้างสูง เช่น ทำงานในตำแหน่งที่หาคนมาทดแทนได้ยาก หรือเป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบริษัท
ไม่ว่าจะเป็นงานขายที่ทำเงินให้บริษัทโดยตรง หรืองานหลังบ้านประเภทปิดทองหลังพระ โอกาสถูกเลิกจ้างก็น่าจะน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ผมขอให้ข้อสังเกตว่าตัวแปรต่างๆ ในอสมการนี้มีบางอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ บางครั้งเราทำงานดีเท่าเดิม แต่สภาพอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป คุณค่าที่เป็นตัวเงินของผลงานเราอาจน้อยลงจนเกิดความไม่คุ้มค่าที่จะจ้างงานต่อ หรือมีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทำให้ต้นทุนการเลิกจ้างลดลง เช่น มีแรงงานหน้าใหม่ที่เก่งและไม่แพงไหลเข้ามาในระบบ หรือแม้แต่การที่บริษัทใจดีขึ้นเงินเดือนให้เรามากจนค่าตัวของเราแพงเกินไปเองก็ตาม ทั้งหมดนี้อาจส่งผลให้เราถูกเลิกจ้างได้
แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นล่ะครับ การถูกเลิกจ้างไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป
เรื่องเล่าของเพื่อนรักสี่คน
ในบริษัทแห่งหนึ่งมีวิศวกร 4 คนถูกเลิกจ้างในเวลาไล่เลี่ยกัน เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ
สรพงศ์ เป็นคนที่เศร้าที่สุด เขารู้สึกมืดแปดด้านเพราะยังต้องผ่อนทั้งบ้านและรถ เงินเก็บก็แทบไม่มี ด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจเขาจึงกินเหล้าและเที่ยวเตร่แก้เครียด ได้แต่หวังว่าจะมีงานดีๆ วิ่งชนเข้ามาในอนาคต สภาพของเขาไม่หลงเหลือวี่แววของคนหนุ่มอนาคตไกลอย่างที่เคยเป็น
ขณะที่
สัญญา ทำใจรับสภาพ และตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหลายอย่างเพื่อความอยู่รอด เขานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านด้วยความเบื่อหน่าย พร้อมกับร่อนจดหมายสมัครงานไปตามบริษัทต่างๆ และเดินทางไปมาเพื่อสัมภาษณ์งานอยู่หลายรอบ จนในที่สุดเขาก็ได้งานใหม่ ถึงแม้จะกินเวลาเกือบหนึ่งปีและได้รับเงินเดือนที่น้อยลงกว่าเดิมมาก แต่เขาก็คิดว่าสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง
สุวัฒน์ เชื่อว่าการเลิกจ้างนี้จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ในมุมมองของเขาการรีบร้อนสมัครงานในช่วงเวลานี้ยากที่จะได้งานดีๆ เพราะบริษัทแต่ละแห่งต่างก็พยายามลดคนกันทั้งสิ้น ดังนั้น แทนที่จะรีบร่อนใบสมัครเหมือนกับสัญญา เขากลับถอยออกมามองภาพกว้างพร้อมกับวางเป้าหมายว่าจะต้องขึ้นไปเป็นผู้บริหารให้ได้หลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัว และนี่ก็คือช่วงเวลาดีที่เขาจะ "อัพเกรด" ตัวเอง
สุวัฒน์มองหัวหน้าเก่าของเขาเป็นต้นแบบ เขาพบว่าทักษะที่จำเป็นต่อการก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าคือ ความรู้เรื่องการบริหารจัดการและทักษะการนำเสนองาน นอกจากนี้ เขาสังเกตว่าบริษัทเดิมของเขาต้องติดต่องานกับบริษัทญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง การเรียนภาษาญี่ปุ่นในระดับเบื้องต้นอาจช่วยให้เขามีความโดดเด่นขึ้นมาได้ หลังจากคิดได้ดังนี้แล้วเขาก็เริ่มเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองอย่างมีวินัย
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองปี ตำแหน่งผู้บริหารระดับต้นเริ่มกลับมาเป็นที่ต้องการ สุวัฒน์ก็ได้รับข้อเสนอให้เป็นรองผู้จัดการฝ่ายผลิตของบริษัทอีกแห่งหนึ่งสมอย่างที่ตั้งใจ
ขณะที่เพื่อนรักสามคนกำลังสาละวนอยู่กับการเป็นลูกจ้าง
สมบัติ ถือได้ว่าแตกต่างจากคนอื่น เพราะแทนที่จะมองหางานใหม่เหมือนกับเพื่อนๆ เขากลับนำเงินเก็บที่อดออมไว้ รวมกับเงินชดเชยจากการเลิกจ้าง มาเปิดกิจการของตัวเอง โดยรับวิศวกรจบใหม่มาฝึกงานและรับเหมาก่อสร้างเล็กๆ น้อยๆ กิจการของเขาดำเนินไปด้วยดีเนื่องจากค่าตัวของวิศวกรไร้ประสบการณ์ในขณะนั้นถือว่าถูกมาก นอกจากนี้ลูกค้าก็เชื่อถือฝีมือและความซื่อตรงของสมบัติและทีมงาน ทำให้บริษัทค่อยๆ เจริญขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
ในความเห็นของเขา การถูก Lay Off เป็นการ "ช่วยตัดสินใจ" ให้เขาออกมาทำตามความฝันของตัวเอง เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วตัวเขาเองคงไม่กล้าออกมาทำกิจการส่วนตัวแบบนี้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในสายตาของเขา คือ การอดออมและเก็บเงินตั้งแต่เริ่มต้นทำงานพร้อมกับเพื่อนๆ ส่งผลให้เขามีเงินทุนในยามที่จำเป็น และมันก็คุ้มค่ากับความพยายามจริงๆ
คุณ ... คือ ใคร
เมื่อคนสี่คนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และตอบสนองกับมันแตกต่างกันไป นั่นนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่มีทางจะเหมือนกัน แล้วคุณคิดบ้างหรือไม่ว่า ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร
จมปลักกับความมืดมนเหมือนกับ สรพงศ์ ?
คิดแค่ประคองตัวรอดเหมือน สัญญา ?
หรือใช้โอกาสนี้พัฒนาตัวเองอย่าง สุวัฒน์ ในจังหวะที่คนอื่นๆ กำลังทอดอาลัยกับโชคชะตา?
หรือว่าบางทีคุณอาจใช้จังหวะนี้ "เปลี่ยนชีวิต" ตัวเองเหมือนกับ สมบัติ ก็ได้
ชีวิตหลังถูกเลิกจ้างคือ
ชีวิตใหม่ ทั้งสิ้น ชีวิตใหม่นี้อาจดีขึ้นหรือเลวลง หรือบางทีมันอาจเหมือนเดิม แต่ทั้งหมดนี้อยู่ที่การออกแบบของตัวเราเอง โปรดจำไว้ว่า
การถูกเลิกจ้างอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณเลือกได้ แต่ชีวิตหลังถูกเลิกจ้างนั้น คุณเป็นคนเลือกเองแน่นอน