วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปรากฏการณ์ขอบฟ้า


ฟังชื่อแล้วหลายคนอาจสงสัยว่าคราวนี้ผมจะมาเล่าอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาหรือเปล่า ความจริงแล้วไม่ใช่หรอกครับ ผมยังคงวนเวียนอยู่กับ "หุ้น" และต้นทางของเรื่องนี้ก็ไม่ได้มาจากตลาดหุ้นอีกเช่นเคย เพราะเรื่องสนุกๆ รอบตัวเราสามารถเอามาโยงเข้าตลาดหุ้นได้อยู่เสมอ ส่วนคราวนี้ผมคิดไปถึงเกมครับ




นึกย้อนไปถึงกิจกรรมในสมัยก่อน เกมโปรดอันหนึ่งของผมและเพื่อนๆ ก็คือ "หมากรุก" ไม่ว่าจะเป็นหมากรุกไทย จีน หรือฝรั่ง ใครขนอะไรมาให้เล่นก็เล่นหมด แต่นั่นก็คืออดีต เนื่องจากสมัยนี้เราหาคนมาเล่นหมากรุกด้วยค่อนข้างยากแล้ว แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะเล่นกับคอมพิวเตอร์แล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะโปรแกรมฟรีให้ดาวน์โหลดก็มีเยอะแยะ

อย่างไรก็ตาม คนส่วนมากไม่ค่อยอยากเล่นหมากรุกกับคอมฯ แม้แต่เพื่อนผมที่เป็นเซียนหมากรุกยังบอกว่า "คอมฯ มันเก่งเกินไป เล่นกี่ทีก็แพ้"

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์โลกส่วนมากจึงยอมศิโรราบให้กับหมากรุกคอมพิวเตอร์แต่โดยดี แม้แต่ผมเองก็ยังเรียกโปรแกรมขึ้นมาเล่นแค่พอแก้ขัดยามที่หาคนเล่นด้วยไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะอะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป และได้รู้ "ทีเด็ด" ที่จะใช้ต่อกรกับมัน

ทราบหรือเปล่าครับว่า ทำอย่างไรถึงจะ "คว่ำ" เจ้าสมองกลนี้ได้?!


วิธีชนะคอมพิวเตอร์


เซียนหมากรุกทราบกันดีว่า คู่แข่งสมองกลของเขานั้นฉลาดปราดเปรื่องเพียงใด คอมพิวเตอร์ไม่มีการเผลอหรือลืม สำหรับพวกมัน รู้ก็คือรู้ และเมื่อรู้แล้วก็ไม่มีลืม มันสามารถ "จดจำ" รูปแบบการเดินหมากได้สารพัด แถมยังคิดไปล่วงหน้าได้อีกหลายตาในลักษณะของ "what-if" analysis ด้วย

ข่าวดีก็คือ การคิดล่วงหน้าของคอมพิวเตอร์นั้นถูกจำกัดด้วยหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผล มันจึงอาจคิดมองไปข้างหน้าได้ "แค่ในระดับหนึ่ง"

สมมติคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งสามารถคำนวณล่วงหน้าได้ 4 ตาเดิน ก็หมายความว่า มันจะเช็คมาเรียบร้อยแล้วว่าภายใน 4 ตาเดินนี้ เราอาจเดินหมากตอบโต้กับมันอย่างไรได้บ้าง จากนั้นเครื่องก็จะเลือกเอา "ทางเลือกที่ดีที่สุด" สำหรับมันออกมา

หลายคนอาจเริ่มคิดขึ้นมาว่า อ้าว แล้วตาที่ 5, 6 หรือ 7 ล่ะ?...

ใช่แล้วครับ นั่นคือสิ่งที่คอมพิวเตอร์ "มองไม่เห็น" และนั่นก็คือ Horizon Effect หรือ ปรากฏการณ์ขอบฟ้า นั่นเอง ลองจินตนาการถึงตัวเราเองก็ได้ เราอาจขึ้นไปยืนบนยอดเขากวาดสายตามองไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไกลจนถึงขอบฟ้า เราเห็นทุกอย่าง ... ยกเว้นสิ่งที่อยู่ถัดไปจากขอบฟ้า (horizon: อ่านว่า ฮอ-ไร-ซอน)

วิธีเอาชนะคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน หากเราวาง "กับดัก" เอาไว้ให้ไกลกว่าขอบฟ้า จากนั้นก็หลอกให้มันเดินเข้าไปติดกับได้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถคว่ำคอมพิวเตอร์ที่ใครๆ ประหวั่นพรั่นพรึงได้แล้ว


Horizon ในเกมหุ้น


ปรากฏการณ์ขอบฟ้ามีอยู่ในโลกของการลงทุนเช่นเดียวกัน นักเล่นหุ้นที่มองสถานการณ์วันต่อวันย่อมมี horizon ที่สั้น (เช่น 2-3 วัน) พวกเขาจะไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกลกว่านั้น ไม่ว่ามันจะใหญ่โตมโหฬารแค่ไหน หากมีข่าวร้ายออกมา เช่น แบงก์ชาติญี่ปุ่นเตรียมลดจำนวนเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ พวกเขาก็จะ "ตีความ" เอาง่ายๆ แค่ว่า มันเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวร้ายก็หุ้นลง ... ขาย!

นักลงทุนที่มี horizon ยาวไกลกว่านี้อาจมองแนวโน้มที่ใหญ่ขึ้น พวกเขาดูภาพรวมของเศรษฐกิจ และถ้าเป็นบริษัทก็จะดูว่าแนวโน้มธุรกิจยังดีอยู่หรือไม่ แน่นอน พวกเขายังคงรับฟังข่าวสารเหมือนกับคนอื่นๆ เพียงแต่พวกเขา "ตีความ" ด้วยมุมมองและความใส่ใจที่แตกต่างออกไป และที่คนกลุ่มนี้มองเห็นสิ่งที่คนกลุ่มแรกไม่เห็น ก็เนื่องจากพวกเขามี horizon ที่ยาวกว่านั่นเอง

อาจพูดได้ว่า คนที่มี horizon ยาวกว่าย่อมมีความได้เปรียบเหนือคนที่มี horizon สั้น คิดเอาง่ายๆ สมมติผมจัดแมตช์หมากรุกให้คอมพิวเตอร์ 2 ตัวแข่งขันกัน ตัวหนึ่งมี horizon 4 ตาเดิน ส่วนอีกตัวมี horizon 20 ตาเดิน ไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่ไหมครับว่าคอมฯ ตัวหลังจะไล่ยำตัวแรกเละเทะขนาดไหน

ในทำนองเดียวกัน หากนักลงทุนที่มี horizon สั้นปะทะกับนักลงทุนที่มี horizon ยาว (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น) คนกลุ่มแรกก็จะหยิบฉวยผลประโยชน์สั้นๆ เมื่อหยิบได้มาแล้วก็เอาไปแจกจ่ายให้โบรกเกอร์ ส่วนที่เหลือเก็บไว้เองก็มีแค่เพียงเล็กน้อย บางครั้งพลาดไปโดน "กับดัก" ที่รออยู่ไกลกว่า horizon เท่าที่พวกเขามองเห็น ก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไป

ขณะที่นักลงทุนกลุ่มที่สองก็อาจหยิบฉวยผลประโยชน์ระยะสั้นด้วยเหมือนกัน แต่พวกเขาก็จะเลือกเฉพาะอันที่ไม่มีกับดักรออยู่ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเจ็บตัวก็มีน้อยลง นอกจากนี้การที่พวกเขามี horizon ที่ยาวไกลขึ้นก็เปิดโอกาสให้หยิบฉวยประโยชน์จาก "ภาพใหญ่" ได้ด้วย กล่าวคือ พวกเขาไม่ได้มองแค่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงในวันพรุ่งนี้ แต่มองภาพใหญ่ว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว อัตราภาษีต่ำ ผลประกอบการของบริษัทน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ และตามหลักเหตุผลแล้วราคาหุ้นก็น่าจะยังเป็นขาขึ้นต่อไป เป็นต้น


มิติอื่นของ Horizon


นอกจาก horizon ในมิติของเวลาแล้ว ยังมี horizon ในมิติอื่นๆ ที่เราควรคำนึงถึงอีกด้วย

ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่ง ได้แก่ horizon ในมิติของกลยุทธ์ บริษัทบางแห่งมีผลประกอบการดีมาอย่างต่อเนื่อง สินค้าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี มีสถานะทางการตลาดเข้มแข็ง ซึ่งนักลงทุนที่มี horizon สั้นๆ ก็จะเห็นแค่นี้

อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตอย่างน่าพอใจนั้น มีกุญแจหลักอยู่ที่ความร่วมมือทางธุรกิจ กล่าวได้ว่า ความร่วมมือกับพันธมิตรเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จอันนี้ และเมื่อเจาะลึกเข้าไปที่พันธมิตร เราอาจพบว่าพันธมิตรรายนี้กำลังดำเนินงานบางอย่างที่คล้ายคลึงกันกับบริษัทที่เราสนใจ และมีความเป็นไปได้ที่เขาจะ "เลิกความสัมพันธ์" และหันมาแข่งขันด้วยในอนาคต

นี่คือ "กับดัก" ที่อยู่ไกลกว่า horizon ของนักลงทุนบางราย และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องโดนดักตีหัวเข้าสักวัน หากว่ายังคงมองแค่สั้นๆ

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็น horizon ในมิติของผู้บริหาร บางบริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดูดี ผู้บริหารสูงสุดเป็นคนมีความสามารถ สุภาพ และจริงใจ เมื่อใดที่เขาออกงานสังคม ทุกคนก็ล้วนแต่ชื่นชม และก็ไม่แปลกหากนักลงทุนที่มี horizon สั้นๆ จะเห็นเพียงเท่านี้

ทว่านักลงทุนที่รอบคอบจะเจาะลึกลงไปถึงฝ่ายบริหาร "ทั้งทีม" พวกเขาคอยติดตามผู้บริหารท่านอื่นๆ ด้วยว่าใครรับผิดชอบอะไร ท่าทีของทีมบริหารเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ใครเป็นผู้มีอิทธิพลชี้นำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและเป็นความรู้ที่ต้องรวบรวมจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากการประชุมผู้ถือหุ้น งานพบปะนักลงทุน และการให้สัมภาษณ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ (แน่นอนว่าไม่มีในสรุปข้อมูลทางการเงิน หรือในบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์)

การที่เรารู้จักฝ่ายบริหารเป็นอย่างดีจะทำให้สามารถคาดเดาได้ว่า พวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร และการกระทำดังกล่าวจะส่งผลต่อบริษัทในแง่บวกหรือแง่ลบ หากผู้บริหารหลายคนเป็นพวกคร่ำครึหัวโบราณ พวกเขาอาจทำให้การบริหารงานของบริษัทฝืดกว่าที่ควร และนี่ก็เป็นกับดักที่คน horizon ยาวเท่านั้นที่จะเห็น


ไม่ใช่แค่ "มุมมอง" และ "ความรู้"


แม้มุมมองและความรู้จะเป็นตัวหลักที่กำหนด horizon ของเรา แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า "อคติ" ที่เรามี ก็มีส่วนสำคัญในการกำหนด horizon ด้วย บางครั้งเราอาจพรั่งพร้อมด้วยความรู้และความสามารถ แต่มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราเต็มไปด้วยอคติ

"คนเรามักเห็นอย่างที่อยากจะเห็น"

เพราะฉะนั้นถ้าเรามีจิตใจฝักใฝ่ไปแล้วว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้เป็นอย่างไร อคติของเราก็จะตามไปบิดเบือนการตีความและบั่นทอน horizon จนทำให้มองไม่เห็นระเบิดเวลาที่วางอยู่โต้งๆ เรามองไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็น!

ลองนึกทบทวนดูก็ได้ครับ ที่เราเคยเจ๊งหุ้นมาในอดีตเกิดจาก Horizon Effect กันบ้างหรือไม่


หมายเหตุ ภาพประกอบจาก colourbox.com

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รายการ "VI สายดำ" เทปที่ 2 (ธุรกิจธนาคาร)


ออกอากาศทาง กรุงเทพธุรกิจ TV เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2556

ว่าด้วยธรรมชาติของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ตัวเลขที่เกี่ยวข้อง และทิศทางในอนาคตครับ




พยายามแปะวิดีโอแล้ว ไม่สำเร็จแฮะ เอาลิงก์ไปแทนแล้วกันนะครับ

http://www.youtube.com/watch?v=QGBV95hkIZY

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จิบกาแฟสอนหุ้น


หากได้ยินว่า "จิบกาแฟเล่นหุ้น" เราก็มักจินตนาการไปถึงการนั่งละเลียดจิบกาแฟอย่างรื่นรมย์ ในบรรยากาศร้านกาแฟที่หอมกรุ่นและผ่อนคลาย มือหนึ่งถือแก้วกาแฟ มือหนึ่งจิ้มโน้ตบุ๊กหรือแท็ปเล็ต และบนหน้าจอก็มีราคาหุ้นเขียวๆ แดงๆ กระพริบสลับกันไปมา...




คงต้องขออภัย เพราะผมไม่ได้มีเจตนาจะชักชวนหรือชี้นำให้ใครออกมาใช้ชีวิตอย่างเพ้อฝันแบบนั้น ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้นะครับ เพียงแต่โดยมากแล้วจินตนาการของเรามักจะ "ดีเกินจริง" และนักเทรดที่เป็นมืออาชีพจริงๆ ก็ต้องผ่านการฝึกฝนและค้นคว้ามาอย่างหนัก ไม่ใช่โผล่มาถึงก็ชิลล์เลย แล้วไปนั่งเทรดขำๆ อยู่ตามร้านกาแฟ

ในเมื่อจั่วหัวเอาไว้ว่า "จิบกาแฟสอนหุ้น" ไม่ใช่ "เล่นหุ้น" เพราะงั้นเราก็มาเรียนรู้เรื่องหุ้นจากกาแฟ และเรียนรู้เรื่องกาแฟจากหุ้น ส่วนใครฟังเสร็จแล้วอยากไปเล่นหุ้น อันนั้นก็ไม่ว่ากันครับ


กาแฟเจ้าประจำ


กาแฟเจ้าประจำของหลายๆ ท่านอาจเป็นร้านชื่อดังที่ใช้หลอดกาแฟสีเขียว บรรยากาศดี มีบาริสต้ารู้ใจ และพร้อมที่จะเข้าใจภาษาแปลกๆ ของท่าน เป็นต้นว่า "ควอด ใส่วานิลลาสองช็อต ฮาเซิลนัทแบบชูการ์ฟรีหนึ่งกับอีกเศษหนึ่งส่วนสี่ช็อต ริสเทร็ตโต้ลาเต้ใส่นมถั่วเหลืองเศษหนึ่งส่วนสี่ช็อต ใส่นมปลอดมันเนยครึ่งหนึ่ง นมออร์แกนิกเศษหนึ่งส่วนสี่ ร้อนมากเป็นพิเศษ ใส่น้ำแข็งสามก้อน และใส่วิปครีมด้วย"

คนที่ไม่ใช่คอกาแฟอาจเกาหัว แล้วพานคิดไปว่าทั้งลูกค้าและบาริสต้า (คนชงกาแฟ) เป็นมนุษย์ต่างดาวที่กำลังคุยกันเหมือนในหนังเรื่อง Men in Black แต่ที่จริงแล้วนี่เป็น "รายละเอียด" ที่อยู่ในเครื่องดื่ม 1 แก้ว ซึ่งผมหยิบยกมาจากหนังสือ พลังแห่งความสำเร็จสตาร์บัคส์

ผมมองว่าตัวเองโชคดีที่เป็นคนชอบอะไรธรรมดาๆ เลยไม่ต้องสรรหากาแฟที่มีรายละเอียดมากมายขนาดนั้น เพียงแค่กาแฟสำเร็จรูป "เจ้าประจำ" ก็รสชาติดีและหอมอร่อยเพียงพอแล้ว

แต่เรื่องราวยุ่งยากก็เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อผมพบว่า กาแฟช่องเขา เจ้าประจำที่ผมซื้อมันขึ้นราคา

หากเราซื้อของบางอย่างเป็นประจำก็จะจดจำได้ว่ามันมีราคาเท่าไหร่ และเมื่อมันขึ้นราคา เราก็ย่อมจะรู้ได้ในทันที

เรื่องนี้คล้ายคลึงกับการซื้อหุ้น ถ้าเราเป็นแฟนประจำของหุ้นบางตัว เราก็ย่อมจะจำได้ว่าหุ้นตัวนี้ปกติซื้อขายกันอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ และเมื่อราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดสังเกต เราก็อาจเข้าไปเช็คดูว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งถ้าเราเป็นแฟนประจำที่ไม่เพียงซื้อๆ ขายๆ หุ้นเพื่อทำกำไรแบบฉาบฉวย แต่ว่ารู้จักตัวกิจการเป็นอย่างดี เราก็จะสามารถฉกฉวยประโยชน์ที่เกิดจากการตีความผิดๆ ของนักลงทุนได้

ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารแพลมออกมาว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นมาก นักลงทุนจึงพากันเข้าไปไล่ซื้อจนหุ้นมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งที่จริงหากเช็คดูให้ลึกๆ ก็จะรู้ว่ากำไรที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการขายบริษัทย่อยแห่งหนึ่งออกไป กำไรที่น่าจะเยอะนี้จึงเป็นกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และถ้าคิดให้ดี ในไตรมาสหน้าหรือปีหน้า บริษัทก็จะไม่สามารถรับรู้กำไรที่เกิดขึ้นจากบริษัทย่อยแห่งนั้นได้อีกแล้ว (เพราะว่าขายไปเรียบร้อยแล้ว)

นักลงทุนที่ฉลาดจึงไม่เพียงแต่หักกำไรพิเศษนี้ออกไป แต่ยังคิดไปข้างหน้าด้วยว่า บริษัทย่อยที่หายไปนี้จะกระทบกับกำไรของบริษัทมากน้อยแค่ไหน หากพิจารณาดูแล้วกำไรในอนาคตมีแววว่าจะสวนทางกับราคาหุ้นในปัจจุบัน มันก็อาจเป็นโอกาสขายที่ดีก็เป็นได้ ... นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการที่เราเป็นแฟนประจำของหุ้นตัวหนึ่ง และมองไปให้ไกลกว่าคนอื่นก้าวหนึ่ง


มองหาส่วนลด มองหายี่ห้อใหม่


ย้อนกลับมาที่กาแฟช่องเขา ทางออกแรกที่ผมคิดได้ก็คือ ลองเช็คราคาดูว่า มันขึ้นราคาเฉพาะห้างที่ผมซื้อหรือไม่ หรือว่าขึ้นราคาทุกห้าง หากมีห้างไหนที่ยังไม่ปรับราคา ผมก็อาจเข้าไปซื้อกาแฟนี้มาตุนไว้ก่อนที่มันจะปรับขึ้นราคา นี่คือการมองหาส่วนลด

โชคร้ายที่ผมพบว่า ทุกห้างที่ไปสำรวจต่างก็ขายกาแฟนี้ในราคาแพงกว่าที่ผมเคยซื้อ ดังนั้นผมจึงเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนไปลิ้มลองกาแฟยี่ห้ออื่นดูบ้าง เผื่อว่าจะมีรสชาติดีและราคาไม่แพง

หลังจากตระเวนดื่มกาแฟมาหลายยี่ห้อ ผมก็พบว่าการเปลี่ยนตัวกาแฟทำให้ส่วนผสมน้ำตาลและครีมที่เคยเซ็ตไว้ "ลงตัว" กลับกลายเป็นต้องทดลองกันใหม่ และถึงแม้จะปรับจนดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังสู้กาแฟช่องเขาเจ้าเดิมไม่ได้อยู่ดี เรื่องนี้ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า "จะเสียเวลากินกาแฟไม่อร่อยอยู่เป็นเดือนๆ ทำไมเนี่ย?!"

โลกของหุ้นและกาแฟอาจไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ที่แน่ๆ การมองหา "ส่วนลด" เป็นสิ่งที่ง่ายกว่าการมองหา "ยี่ห้อใหม่"

ในมุมของกาแฟ การแวะเวียนไปเช็คราคาบ่อยๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่า มีบางครั้งเหมือนกันที่ห้างจะลดราคากาแฟช่องเขา และเป็นโอกาสให้ผมได้ซื้อของถูกใจในราคาลด โอเค มันอาจไม่ต่ำเท่ากับที่เคยซื้อได้ในอดีต แต่มันก็ทำให้ผมมีกาแฟอร่อยๆ ดื่ม ซึ่งคิดดูแล้วก็ง่ายกว่าการทดลองกาแฟยี่ห้อใหม่เรื่อยไป

นอกจากนี้เมื่อนึกย้อนดู บางทีผมอาจหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ เพราะกาแฟยี่ห้อใหม่ก็อาจปรับราคาขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่รู้ เพราะไม่เคยได้ติดตาม

ในส่วนของหุ้นนั้น หากเราเรียนรู้ตัวธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนตัวหุ้นบ่อยๆ เราก็มีโอกาสที่จะเห็น "ส่วนลด" ในระดับที่น่าพอใจ และกล้าที่จะลงมือซื้อหุ้นด้วยความเชื่อมั่น กล่าวได้ว่าการยึดมั่นอยู่กับ "ยี่ห้อเดิม" ช่วยทำให้การมองหาส่วนลดเป็นเรื่องง่ายขึ้น


ย้ำส่งท้าย อย่าเข้าใจผิด


แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าห้ามเปลี่ยนตัวหุ้น เพียงแต่เราจะไม่เปลี่ยนบ่อยๆ และในทำนองเดียวกัน การรอซื้อหุ้นที่มีส่วนลดก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องรอซื้อหุ้นราคาเดิมที่เคยซื้อเมื่อสองปีที่แล้ว

นักลงทุนควรรู้ว่า "มูลค่า" ของหุ้นเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา เพราะฉะนั้นส่วนลดก็ย่อมเปลี่ยนไปตามเวลาเช่นกัน ราคาหุ้น 20 บาทอาจถือเป็นราคาที่มีส่วนลดแจ่มแจ๋วเมื่อสองปีที่แล้ว แต่พอถึง พ.ศ. นี้ ราคาหุ้น 28 บาทก็อาจเรียกได้ว่า "ถูกเหลือเชื่อ" แล้วก็ได้ การยึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งที่แปรผันไปตามเวลา จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ไม่ว่าจะในโลกของกาแฟหรือหุ้นก็ตาม

อย่างผมเองถ้าขืนรอซื้อกาแฟช่องเขาที่ราคาเดิม ชาตินี้ก็อาจไม่มีวันได้กินอีกเลย จริงไหมล่ะครับ


หมายเหตุ ภาพประกอบจาก thaifranchisecenter.com

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รายการ "VI สายดำ" เทปที่ 1

ออกอากาศทาง กรุงเทพธุรกิจ TV เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2556

ว่าด้วยสไตล์การลงทุนและเทคนิคเลือกหุ้น "ตัวเก๋า-ตัวจี๊ด" ครับ