วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อิสรภาพทางการเงิน...คำนวณแบบง่ายๆ


คำถามหนึ่งที่เรามักจะได้ยินกัน คือ "ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะมีอิสรภาพทางการเงิน?"

สิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงที่คนส่วนมากอยากมีอิสรภาพทางการเงิน (financial freedom) แต่พวกเขาคำนวณไม่เป็นว่าแค่ไหนถึงจะเพียงพอ ทำให้พวกเขาไม่เคยมั่นใจได้เลยว่าตัวเองอยู่ใกล้หรือไกลจุดหมายมากน้อยเพียงใด

ความจริงแล้วการ "คำนวณไม่เป็น" นั้นเป็นช่องโหว่ใหญ่ๆ อันหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ของสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ต่อจากนี้ผมจะแสดงให้ดูว่าเราสามารถต่อยอดจากประโยคคำถามสั้นๆ ข้างบนออกไปได้อย่างไร

และที่พลาดไม่ได้ ในตอนท้ายผมจะสอนให้คำนวณอิสรภาพทางการเงินของตัวเองด้วยสมการง่ายๆ ครับ


ไม่ใช่แค่มีเงิน!


คนส่วนใหญ่ที่ถวิลหาอิสรภาพทางการเงินต่างให้ความสนใจกับ "จำนวนเงิน" ที่ต้องมีเพื่อบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่อันนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่ตระหนักว่า ลำพังแค่การ "มีเงิน" ยังไม่ได้การันตีอิสรภาพทางการเงิน

อิสรภาพทางการเงินไม่ใช่การมีเงินมาก หลายคนคงทราบแล้วว่า อิสรภาพทางการเงินเกิดจากสร้าง "รายได้จากสินทรัพย์" หรือที่เรียกว่า passive income ให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพของเรา ดังนั้นถ้าเรามีเงินมาก แต่เป็นเงินที่นอนแช่เฉยๆ ไม่ได้สร้างกระแสเงินสด อย่างนี้ก็ยังไม่ถือว่ามีอิสรภาพทางการเงิน

อิสรภาพทางการเงินของเราเป็นระบบอย่างหนึ่ง (หาเงิน - ใช้เงิน - เงินเหลือ - สินทรัพย์งอกเงย) ซึ่งถ้าเราออกไปยืนอยู่ข้างนอกแล้วมองกลับเข้ามา เราควรจะเห็นว่ามันสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยตัวของมันเอง ซึ่งเรียกว่าเป็น "self-financing" หมายความว่า สินทรัพย์สามารถทำเงินได้เกินกว่ารายจ่ายโดยที่เราไม่ต้อง "เติมเงิน" ด้วยรายได้จากงานประจำหรือเงินเดือน

ความหมายของ self-financing ก็คือ เราจะทำงานประจำหรือไม่ก็ได้ ถ้าเราทำงานต่อไปก็ยิ่งดี เพราะสินทรัพย์ของเราก็จะยิ่งงอกเงยได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเราไม่ทำงานต่อ อย่างน้อยระบบก็สามารถทำเงินและสร้างสินทรัพย์เพิ่มเติมให้ทันกับเงินเฟ้อได้ด้วยตัวของมันเอง

กล่าวโดยย่อก็คือ การมีเงินมากเป็นเรื่องดี แต่มันก็ไม่ใช่แค่ว่า "มีเงิน" ทว่าอยู่ที่เราเอาเงินไปทำอะไรด้วย


ความฉลาดก็มีผล


ฉลาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรียนเก่ง แต่หมายถึงความฉลาดในการสร้างสินทรัพย์ที่ทำเงิน พูดอีกอย่างก็คือ ความฉลาดในทางการเงิน นั่นเอง

ความฉลาดในทางการเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินที่เรามีอยู่ คนมีเงินมากอาจฉลาดน้อย ส่วนคนมีเงินน้อยอาจฉลาดมากก็ได้ คนที่ฉลาดน้อยจะรวยขึ้นในอัตราที่ไม่เร็วนัก พวกเขาอาจมีเงิน 20 ล้านบาท และใช้เวลาถึง 15 ปีในการทบต้นให้รวยขึ้นเป็นสองเท่า แต่ในสายตาของพวกเรา 20 ล้านหรือ 40 ล้านบาทก็ถือว่ามากอยู่ดี เราจึงคิดว่าพวกเขารวยและเก่งอยู่เสมอ

ในอีกด้านหนึ่งคนที่ฉลาดมากจะรวยขึ้นในอัตราที่เร็วกว่า พวกเขาอาจมีเงินแค่ 1 ล้านบาท แต่สามารถทบต้นให้รวยขึ้นเป็นสองเท่าภายใน 5 ปี ซึ่งถือว่าเร็วมาก แต่คนส่วนใหญ่ที่มองเห็นเขามีเงิน 1 ล้านหรือ 2 ล้านบาท ก็จะคิดว่า "ไม่เห็นจะเท่าไหร่" และอาจไม่ใส่ใจขอความรู้จากเขา ทั้งที่เขาก็เก่งไม่ใช่ย่อยเลย

เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ผมขอสมมติคนสองคนที่มีเงินอยู่ 2 ล้านบาทเท่ากัน คนแรกเอาเงินไปซื้อคอนโดฯ แล้วนำไปปล่อยเช่า สร้างกระแสเงินสดได้เดือนละ 12,000 บาท (คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.2% ต่อปี) ส่วนอีกคนหนึ่งเอาเงินไปดาวน์คอนโดฯ ได้ 4 ห้อง แล้วนำไปปล่อยเช่า ระหว่างนั้นก็นำค่าเช่าส่วนหนึ่งไปผ่อนคอนโดฯ

คนที่สองแม้จะมีภาระผ่อนคอนโดฯ เดือนละ 8,000 บาทต่อห้อง แต่หักลบกับค่าเช่าแล้วก็ยังเหลือเงินอีก 4,000 บาท รวม 4 ห้อง ก็ 16,000 บาทต่อเดือน (คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 9.6% ต่อปี) ความจริงเราสามารถโต้เถียงกันในแง่มุมต่างๆ ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถ้าวัดกันที่ผลกำไรสุดท้าย หรือ bottom line ก็ต้องบอกว่าคนที่สองสร้างผลตอบแทนได้เก่งกว่าคนแรก

หากสินทรัพย์ของเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูง โอกาสที่เราจะบรรลุอิสรภาพทางการเงินก็มีมากขึ้นและเร็วขึ้น ทั้งนี้แม้ผมจะยกตัวอย่างการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ความจริงแล้วการลงทุนประเภทอื่นๆ ก็ยังมีอีกมาก เช่น การลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือในธุรกิจต่างๆ ข้อสำคัญ คือ จับให้ได้ว่าเรามีความถนัดอะไร อะไรที่เราทำแล้วเก่งกว่าคนอื่น และพยายามฝึกฝนให้ "เก่งจริง" ให้ได้ ยิ่งเราเก่งเท่าไร อัตราผลตอบแทนก็จะยิ่งสูงโดยที่ไม่ต้องเพิ่มความเสี่ยง


เจียมเนื้อเจียมตัว


คนที่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีโอกาสไปสู่อิสรภาพทางการเงินได้เร็วกว่าคนที่ฟุ้งเฟ้อประเภท "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" เหตุผลก็คือ เราไม่ต้องถูกบีบให้สร้างกระแสเงินสดก้อนโต เพื่อให้ทันกับความมือไวใจกล้าของเรา

การสร้างกระแสเงินสดก้อนเล็กย่อมง่ายกว่าการสร้างกระแสเงินสดก้อนใหญ่ นอกจากนี้ การใช้จ่ายน้อยยังเปิดโอกาสให้เรามีเงินเหลือพอไปสร้างสินทรัพย์เพิ่ม ซึ่งก็จะวนมาสร้างกระแสเงินสดได้อีก การรู้จักใช้จ่ายอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวโดยเฉพาะในระยะแรกๆ ของการสร้างอิสรภาพทางการเงินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

ค่าใช้จ่ายบางอย่างเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น ผมไม่ได้บอกว่าให้อดอาหารหรือกินข้าวน้อยๆ แต่อยากให้ทุกคนมองออกว่าอะไรคือจำเป็น และอะไรคือความอยาก... อาหารที่มีคุณค่าและราคาไม่แพงมีอยู่ทั่วไป เราอาจไปทานอาหารร้านดีๆ บ้างก็ได้ ถือว่าเป็นความสุขในชีวิต แต่อย่าให้มันเป็น "เงื่อนไข" ของความสุขในชีวิตของเรา และต้องรู้จักประมาณตัว ไม่ใช่ว่าเงินเดือน 15,000 บาท แต่ทานอาหารโรงแรมหรูมื้อละเป็นพัน หรือซื้อของแบรนด์เนมบ่อยๆ อย่างนี้ถือว่าใช้จ่ายไม่สมฐานะ


สมการอิสรภาพทางการเงิน


ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สังเกตถึง 3 ปัจจัยที่ผมพยายามป้อนเข้าสู่กระบวนการคิด นั่นคือ

1. สินทรัพย์ (Asset หรือ A) ซึ่งสร้างกระแสเงินสด
2. อัตราผลตอบแทน (Rate of Return หรือ r) ซึ่งเป็นผลมาจากความฉลาดในทางการเงิน
3. ค่าใช้จ่ายของเรา (Living Expense หรือ X) ซึ่งขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความเจียมเนื้อเจียมตัวของแต่ละคน

ปัจจัยทั้งสามนี้ (รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อ หรือ Inflation ซึ่งผมแทนด้วยตัว f) เป็นตัวกำหนดอิสรภาพทางการเงินของเรา ตัว A, ตัว r และตัว X มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมจะเขียนคำพูดออกมาก่อน จากนั้นก็จะถอดมันออกมาเป็นสมการ คำพูดของผม คือ "สร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และเหลือพอที่จะทำให้สินทรัพย์งอกเงยจนสามารถชดเชยเงินเฟ้อได้ด้วย"



เราสามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องหมาย "เท่ากับ" ก็ได้ อสมการนี้ก็จะกลายเป็นสมการ และตัว A ของเราก็จะเป็นสินทรัพย์น้อยที่สุดเท่าที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงิน




เมื่อย้ายข้างสมการและจัดรูปใหม่ เราจะได้สมการอิสรภาพทางการเงินแบบง่ายๆ และสามารถคำนวณหาเงินที่เราต้องมีได้

ตัวอย่างเช่น เราใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆ ด้วยรายจ่ายเดือนละ 20,000 บาท และสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตรา 8% ต่อปี หากอัตราเงินเฟ้อเป็น 4% (สมมติว่าแบงก์ชาติสามารถดำเนินนโยบายเงินเฟ้อได้ตามที่วางเป้าหมายไว้)

ค่า A หรือ asset ที่เราต้องมีจะเท่ากับ (20000 x 12) / (0.08 - 0.04) = 6,000,000 บาท

นี่คือการคำนวณแบบง่ายๆ นะครับ ในชีวิตจริงขอให้เผื่อเหลือเผื่อขาดกันเอาเอง อาจจะเพิ่มรายจ่ายขึ้นเป็น 24,000 บาท เผื่อยามจำเป็น หรือสำรองเงินใช้จ่ายฉุกเฉินไว้สัก 24 เดือน (อีก 480,000 บาท บวกเข้าไปในตัว A) เผื่อช่วงตลาดขาลง เป็นต้น ใคร conservative มากๆ ก็เผื่อให้เยอะหน่อย

การคำนวณอิสรภาพทางเงินไม่ใช่เรื่องยาก การเผื่อเพื่อความปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ความยากอยู่ที่ตัว A, ตัว r และตัว X นั่นแหละ ซึ่งผมขอแนะนำหลักสำคัญ 2 ข้อ ได้แก่

1) ใช้จ่ายให้น้อยเข้าไว้ การใช้จ่ายน้อยส่งผลให้ตัว X ลดลงโดยตรง และอีกทางหนึ่งเราก็จะมีเงินมากขึ้นเพื่อไปสะสมสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ตัว A เพิ่มขึ้นด้วย

2) แสวงหาความรู้ทางการเงิน จะทำให้เราสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ตัว r สูงขึ้น

พยายามกันหน่อยนะครับ อิสรภาพทางการเงินอยู่ไม่ไกล แต่ถ้าคุณไม่ก้าวเดิน นานเท่าไรก็ไม่มีทางไปถึงครับ

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นักโทษแหกคุก


ช่วงปลายปีเรามักได้ยินเพื่อนๆ บ่นอยากลาพักร้อนไปเที่ยวกับครอบครัว แต่หลายคนก็บ่นกระปอดกระแปดว่างานล้นมือจนไม่สามารถลาไปไหนกับใครเขาได้ ผมจึงคิดถึงเรื่องราวของ "นักโทษแหกคุก" ขึ้นมา

คนทำงานประจำมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นคนที่ทำงานด้วยความรักในงานอย่างแท้จริง และแทบไม่เคยบ่น ไม่เคยเจ็บปวด ไม่เคยน้อยใจในชีวิตการทำงาน แน่นอนว่าคนกลุ่มแรกนี้เป็นคนที่โชคดีมาก และเขาคงไม่มีคุกให้ต้องแหกแต่อย่างใด ที่จริงแล้วเขาอาจเต็มใจ "จ่ายเงิน" เพื่อให้ได้ไปทำงานเสียด้วยซ้ำ

แต่สำหรับคนกลุ่มที่สอง คือ คนที่ทำงานด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก อาจมีความรักในงานอยู่ด้วย แต่พวกเขาก็มีความเจ็บปวด น้อยใจ หรือไม่พอใจกับชีวิตอยู่เรื่อยๆ คนกลุ่มนี้มีคุกให้แหก แต่เขาจะแหกหรือไม่ อันนี้เป็นสิทธิส่วนตัวซึ่งคงไปก้าวก่ายไม่ได้

สิ่งที่ผมพอทำได้ คือ บอกพวกเขาว่า logic ของนักโทษแหกคุก สามารถนำมาใช้กับชีวิตได้อย่างไร และบางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนชีวิตไปได้ตลอดกาล...



นักโทษในออฟฟิศ


ด้วยความเคารพในเกียรติภูมิของมนุษย์เงินเดือนที่มีอยู่เป็นล้านๆ คนในประเทศไทย ผมไม่มีเจตนาจะกล่าวหาว่าการทำงานประจำเป็นสิ่งเลวร้ายหรือปราศจากอิสรภาพ เพราะผมเองก็อาศัยเงินเดือนเลี้ยงชีพและตั้งตัวมาได้จนถึงทุกวันนี้ พูดแบบกลางๆ ก็คือ ผมเห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของงานประจำมาพอสมควร

งานประจำ หรือ งานที่รับเงินเดือน นั้นใช่ว่าจะไม่ดี อย่างน้อยเราก็มีรายได้ที่แน่นอน มีสวัสดิการพอสมควร บางครั้งก็เป็นหน้าเป็นตาด้วย โดยเฉพาะถ้าเราทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ หรือบริษัทที่มีชื่อเสียง แต่ปัญหาก็คือ ชีวิตของเราจำเป็นต้องขึ้นกับ "คนอื่น" หรือ "ปัจจัยอื่นๆ" อยู่มากเกินไป และบางครั้ง เหตุ ที่ดีก็ไม่ได้นำไปสู่ ผล ที่ดีเสมอไป

ตัวอย่างเช่น คุณอาจมีตรรกะว่า ทำงานเก่งแล้วจะได้เลื่อนขั้น แต่ในโลกของความเป็นจริง ยังมีคนอื่นและปัจจัยอื่นอีกมาก เช่น
  • งานที่คุณเก่งนั้นมีความสำคัญกับแผนกหรือองค์กรแค่ไหน?
  • หัวหน้าเห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณทำหรือไม่? หรือต่อให้เห็น เขาอยากให้คุณเติบโตหรือไม่?
  • การเลื่อนขั้นมีโควต้าหรือเปล่า? บางทีอาจจะมีคนอื่นที่มีผลงานโดดเด่นกว่าคุณ
  • การเลื่อนขั้นของคุณอาจสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือเปล่า?

การที่เราไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ บวกกับระเบียบปฏิบัติต่างๆ ขององค์กรที่เราอยู่ เป็นต้นว่าการเข้างาน 8.30 น. เลิกงาน 17.00 น. (ซึ่งก็ไม่เคยได้เลิกงานตามเวลานั้น) การลาหยุดต้องได้รับอนุญาต บางครั้งต้องทำงานวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ หรือทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน งานไม่เสร็จก็ยังกลับบ้านไม่ได้ หรือต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้าน ฯลฯ

เมื่อคุยเรื่องนี้กับเพื่อนที่ทำงานประจำ เขาก็หัวเราะ แล้วว่า "แล้วจะให้ทำยังไง?"... ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะบอกเขาว่า "แกก็เลิกเป็นนักโทษในออฟฟิศสิ แหกคุกซะ!"


แหกคุก...ทำยังไง?


คนส่วนมากไม่น่าจะมีความรู้เกี่ยวกับการแหกคุก(จริงๆ) แต่อย่างน้อยก็คงจะเคยเห็นจากในภาพยนตร์กันมาบ้าง เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่จะเห็นตรรกะบางอย่างที่เอามาใช้สร้างอิสรภาพให้กับชีวิตมนุษย์เงินเดือนได้

ถามแบบง่ายๆ ถ้านักโทษจะแหกคุก เขาต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก?

คำตอบง่ายมากครับ... ก็ต้อง "วางแผน" ไง!

อย่างน้อยเราจะต้องมีแผนผังของคุกที่จะแหกออกมา การวางแผนทำให้เรารู้ว่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง ต้องหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาคอยช่วยเหลือหรือไม่ จะใช้เวลานานแค่ไหน จะลงมือได้เมื่อไร เป็นต้น หากปราศจากการเตรียมการที่ดี แผนแหกคุกก็ยากที่จะสำเร็จได้ และทุกคนก็น่าจะรู้ดีว่าการแหกคุกที่ไม่สำเร็จนั้นจะส่งผลอย่างไร

การวางแผนที่ดีทำให้เราสามารถกำหนดรูปแบบการแหกคุกออกมาได้ว่าควรใช้วิธีใดหรือเส้นทางไหน รู้ว่าต้องมี "อะไร" และจะใช้มัน "เมื่อไหร่" จากนั้นจึงค่อยคิดว่าจะหาสิ่งเหล่านั้นได้ "อย่างไร" รวมทั้งเมื่อทำได้สำเร็จแล้วจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ต้องไม่ให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ก่อนเวลาอันควร โดยเฉพาะผู้คุมของคุณ


"ไอ้คนมีฝัน"


ในทำนองเดียวกัน หากคุณคิดจะแหกคุกออกไปจากออฟฟิศ คุณก็ย่อมจะไม่อยากให้หัวหน้างานของคุณรู้เรื่องพวกนี้ก่อนเวลาอันควร ถ้าวันหนึ่งที่คุณพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว และเดินไปบอกเขาว่า "พี่ครับ ผมจะลาออกไปทำตามฝันของผม ตอนนี้ผมพร้อมทุกอย่างแล้วทั้งเงินทุน สถานที่ บุคลากร และได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบแล้ว ผมดีใจที่ได้ร่วมงานกับทุกๆ คนครับ"

เทียบกับการที่คุณ "โดนจับได้" ก่อนที่จะพร้อม สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ คุณจะไม่อยู่ในรายชื่อต้นๆ ที่จะได้รับการโปรโมทในครั้งต่อไป เพราะหัวหน้าย่อมไม่อยากเข็นคุณขึ้นทั้งที่รู้ว่าคุณอยากลาออกไปโลดโผนด้วยตัวเอง และการเลื่อนขั้นให้กับคนที่ "พร้อมใจ" จะทำงานเป็นมือซ้ายมือขวาให้กับเขาในระยะยาวย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

นี่ยังไม่นับนะครับว่าคุณจะถูกจัดจำแนกไปอยู่ในพวก "ไอ้คนมีฝัน" ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ออฟฟิศที่ช้อปกระจายตอนพักเที่ยง เดินถือกาแฟสดหรือชาไข่มุกกลับเข้าออฟฟิศ พอบ่ายก็สุมหัวกันเม้าท์ ใกล้สิ้นเดือนก็จดจ่อรอเงินเดือนออก จ่ายหนี้บัตรเครดิต ได้โบนัสมาก็เอาไปช้อปไปเที่ยวจนหมด ฯลฯ

บางทีพฤติกรรมของคุณอาจแตกต่างจากชาวบ้านอยู่บ้าง แต่จะยังไม่ "แปลกแยก" จนกว่าจะมีคนระแคะระคายว่าคุณกำลังวางแผนคิดการใหญ่ ผมจึงต้องย้ำว่า อย่าให้ใครรู้แผนของคุณก่อนเวลาอันควร


ตัวอย่างของแผน


ดังที่บอกแล้วข้างต้นว่าเราจำเป็นต้องวางแผนเพื่อให้รู้ว่าเราต้องมี "อะไร" และมี "เมื่อไหร่" ผมจึงขอสมมติตัวอย่างดังนี้นะครับ

นายอิสระ เป็นพนักงานประจำที่มีความมุ่งมั่นที่จะไปสู่อิสรภาพทางการเงิน เขาวางแผน 2 ขั้น โดยขั้นแรกเป็นการเก็บหอมรอมริบเพื่อออกมาเปิดร้านเบเกอรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารักและมีความถนัด ในการนี้เขาจะต้องใช้เงินลงทุน 2 ล้านบาท

จากนั้นจะเข้าสู่แผนขั้นที่สอง คือ การเอากำไรจากร้านเบเกอรี่ไปลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อสร้างพอร์ตหุ้นที่เลี้ยงชีวิตได้ในระยะยาว เขาคำนวณคร่าวๆ พบว่า หากใช้จ่าย 25,000 บาทต่อเดือน และลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 10% เมื่อบวกกับเงินค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่เขาจะกันไว้ เบ็ดเสร็จแล้วเขาจะต้องมีเงินตั้งต้นในขั้นตอนนี้ราว 4 ล้านบาท

นี่คือเบื้องต้น สิ่งที่เขาต้องมี และลำดับก่อนหลัง ต่อจากนี้เขาก็คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ

อิสระมองว่าความสำเร็จของเขาขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการเปิดร้านเบเกอรี่ เขาจึงไปเรียนรู้เกี่ยวกับการทำร้านเบเกอรี่เพิ่มเติม สะสมเงินและลงทุนไปพร้อมๆ กัน เขางดเว้นจากการจับจ่ายใช้สอยหรือเที่ยวเตร่เกินจำเป็น ในที่สุดเมื่อทำงานประจำจนครบ 5 ปี อิสระก็มีเงินทุน 2 ล้านบาทและ "แหกคุก" ออกจากงานประจำ พร้อมมุ่งหน้าสู่อิสรภาพทางการเงินต่อไป


กุญแจของความสำเร็จ


จากตัวอย่างข้างต้น อิสระไม่ได้คิดแค่ว่า "อยากมีเงินเยอะๆ" หรือ "อยากมีเงินเดือนเยอะๆ" เพราะนั่นไม่ได้ตอบโจทย์ในระยะยาวของชีวิตเขา

อิสระอ่านความต้องการในชีวิตของตัวเองออกว่า เขาอยากมีร้านเบเกอรี่เป็นของตัวเอง และอยากมีอิสรภาพทางการเงิน... การมีเงินทุนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญ คือ เขาคำนวณออกมาด้วย ว่าที่ต้องมีนั้นมากน้อยแค่ไหน และต้องมั่นใจด้วยว่ามันเป็นจำนวนที่เพียงพอ

นอกจากเรื่องของเงินทุน เขายังเห็นว่า ความรู้เกี่ยวกับเบเกอรี่และธุรกิจเบเกอรี่ ก็เป็นสิ่งสำคัญ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาลงมือศึกษาไปพร้อมๆ กับการสะสมเงินทุน

ระหว่างที่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี อิสระไม่ได้ละเลยหน้าที่ในงานประจำแต่อย่างใด เขายังคงมีความก้าวหน้าดีและได้รับเงินเดือนเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายในระยะยาวของเขา เขาอาจมีความสุขพอสมควรในงานประจำ แต่เขาก็มั่นใจว่าจะมีความสุขมากกว่ากันมากในร้านเบเกอรี่ของตัวเอง


จากตัวอย่างนี้น่าจะทำให้เห็นว่าการวางแผนจะช่วยเราได้อย่างไร ทั้งในแง่ของลำดับความคิด พลังใจ และการลงมือปฏิบัติ แต่ข้อที่ว่าจะแหกคุกได้สำเร็จหรือไม่นั้น มีแต่คุณที่จะตอบได้ครับ

ภาพประกอบมาจากภาพยนตร์เรื่อง The Shawshank Redemption เป็นหนังแหกคุกที่ดีมากเรื่องหนึ่ง