วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หมู่บ้านของมะลิน


ล้อมรอบด้วยขุนเขาในหมู่บ้านห่างไกลความเจริญ มะลินเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสังเกตว่าหมู่บ้านของเธอค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป วันหนึ่งเด็กน้อยจึงถามแม่ว่า “แม่คะ ทำไมหมู่บ้านเราถึงได้แห้งแล้งนัก”

“ก็หมู่บ้านเราไม่มีต้นไม้ใหญ่นี่ลูก พอเที่ยงก็แดดร้อน ลมไม่ค่อยมี ฝนก็ไม่ค่อยตก” แม่ตอบ

“แต่หนูจำได้ว่าแต่ก่อนเรามีต้นไม้เยอะกว่านี้” มะลินแย้ง

“เราเคยมีจ้ะ” แม่นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะว่าต่อ “สมัยก่อนบนเขามีต้นไม้ใหญ่มาก แต่ก็มักจะถูกชาวบ้านตัดไปขายอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเราตกลงกันว่าจะไม่ตัดต้นไม้ใหญ่ ...ถึงวันนี้เราจึงไม่มีต้นไม้ใหญ่อีกแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นหนอ... ก็เราไม่ตัดต้นไม้ใหญ่ แล้วจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ได้ยังไง” เด็กน้อยรำพึง “หรือมีใครแอบมาตัดต้นไม้นะ”

มะลินเดินออกมานอกชาน เห็นต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยกิ่งก้านเหี่ยวเฉากระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ไม่มีต้นไม้ใหญ่จริงๆ ด้วย ทันใดนั้นเด็กน้อยตาโต “โอ้โห! ฉันนึกออกแล้ว” มะลินวิ่งเข้าไปหาแม่อย่างลิงโลด “แม่ขา หนูรู้แล้ว! ชาวบ้านเขาไม่ตัดต้นไม้ใหญ่หรอก เขาตัดต้นเล็ก!!”

-----------------------------------------

บ่อยครั้งที่การแก้ปัญหากลับเป็นการซ้ำเติมปัญหา ชาวบ้านคิดว่าเขาต้องรักษาต้นไม้ใหญ่จึงตกลงกันว่าจะไม่ตัดมัน แต่ตรรกะนี้ไม่ครบถ้วน จำนวนต้นไม้ใหญ่อาจไม่ได้ลดลงจากการตัดไม้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้นไม้อาจยืนต้นตายเอง เป็นโรค หรือโดนฟ้าผ่า ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงการเพิ่มจำนวนของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งก็ต้องมาจากต้นไม้เล็กนั่นเอง

ชาวบ้านรักษาสัญญาด้วยการเลี่ยงไปตัดไม้ต้นเล็กแทน แต่กิจกรรมดังกล่าวก็ไม่ได้ให้ผลดีกับใคร พวกเขาได้ไม้เพียงน้อยนิดที่ขายไม่ได้ราคา ขณะที่ป่าก็สูญเสียต้นไม้ใหญ่ในอนาคต เมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปเช่นนี้ ต้นไม้ใหญ่ก็มีแต่จะลดลง แต่ทำให้ต้นไม้ใหญ่ที่เหลือต้องแบกรับภาระที่หนักขึ้นๆ และทยอยล้มตายกันไป

-----------------------------------------

เงินของคุณก็เหมือนกัน

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นกับเงินในกระเป๋า รวมไปถึงพอร์ตการลงทุนของคุณด้วย

หากว่าคุณเป็นสาว (หรือหนุ่ม) นักช้อป คุณอาจคิดว่า "เฮ้ เราไม่เห็นได้เอาเงินไปทำอะไรเลย แล้วมันหายไปไหนหมดฟะ" จากนั้นก็ เฮ้อ เมื่อยจัง เดินช้อปมา 6 ชั่วโมงแล้ว กินสตาร์บัคส์ดีกว่า...

อาจจะจริงครับ เราไม่ได้ซื้อของแพงหรือที่ผมมักเรียกว่า "ไอเท็มใหญ่" อย่างเช่น ทีวี ตู้เย็น คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ นั่นคือเราไม่ได้ตัดต้นไม้ใหญ่ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราตัดต้นไม้เล็กด้วยการซื้อรองเท้าส้นสูง 199 บาท กระเป๋าถือ 1,499 บาท ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจไปดูหนังกับแฟน 340 บาททุกสัปดาห์ แวะสตาร์บัคส์ทุกวัน ฯลฯ เดือนแล้วเดือนเล่าผ่านไป แล้วก็มาสำรวจดู อ้าว ไม่เห็นมีเงินก้อน (ต้นไม้ใหญ่) เลย

หรือในแง่ของพอร์ตการลงทุน เราเลื่อมใส ดร.นิเวศน์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ รวมทั้งแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า จึงวิเคราะห์หุ้นอย่างตั้งอกตั้งใจและซื้อหุ้นสุดเจ๋งมาไว้ในพอร์ตจนได้ ผ่านไปไม่นานหุ้นเริ่มทำกำไร ด้วยความกลัวว่ากำไรจะหดหายหรือพลิกกลับไปขาดทุน เราเลยขายหุ้นที่ได้กำไรนั้นออกไป (ตัดต้นไม้เล็ก) โดยไม่รู้เลยว่าหากปล่อยให้หุ้นมันโตต่อไปอีก 2-3 ปี มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าหรือกลายเป็นหุ้น 10 เด้ง อย่างที่ ปีเตอร์ ลินช์ เรียก

ผลก็คือในพอร์ตของเรามีแต่ต้นไม้เล็กที่แคระแกร็น เพราะเราตัดต้นเล็กที่มีแววดีไปเรียบร้อยแล้ว ต้นที่เหลืออยู่ไม่อยู่ในสภาพที่จะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาหรือดอกผล หรือแม้บางต้นจะฟื้นกลับมาได้แต่ก็ต้องสิ้นเปลืองน้ำ-ปุ๋ย และการดูแลอีกมาก วิธีสังเกตก็ไม่ยาก ถ้าในพอร์ตของเราดูไปแล้วเขียว (กำไร) อยู่เสมอ นั่นแสดงว่าต้นไม้กำลังเติบโตขึ้นเป็นต้นใหญ่ และถ้าอยากได้ต้นใหญ่เราก็ต้องรอ หากตัดต้นเล็กไปแล้วจะมีต้นใหญ่ได้อย่างไร??

หวังว่าคงได้แง่คิดดีๆ ไปบ้างนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น