วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562

แทะเงินก้อน


เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าเราจำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่ เพื่อเอาไว้แทะกินหลังเกษียณ บางกระแสระบุว่าจำนวนเงินขั้นต่ำ คือ 4 ล้านบาท แต่ถ้าอยากให้ชีวิตมีคุณภาพ ก็อาจต้องมีถึง 10 ล้านบาท โดย “ดีไซน์” ของการเกษียณในรูปแบบนี้อยู่ตรงที่การทยอยใช้เงินก้อนดังกล่าว และหวังว่าจะไม่หมดเงินก่อนหมดลม

เคยได้ยินไหมครับ ที่เขาบอกว่า “สุดเสียดาย ตายไปยังใช้เงินไม่หมด” กับ “สุดสลด ใช้เงินจนหมดแล้วยังไม่ตาย”

คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผม คือ ชีวิตของเราควรจะลุ้นขนาดนั้นเชียวหรือ? และหากมีถึง 10 ล้านบาทจริง เรายังจำเป็นต้องนั่งแทะเงินด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อีกไหม หรือที่จริงเราสามารถเอาเงินก้อนที่ว่ามาสร้างกระแสเงินสดไว้เลี้ยงตัวได้ตลอดชีพสบาย ๆ... และจุดแบ่ง (ว่าจะแทะหรือไม่แทะ) มันอยู่ตรงไหน?


โมเดลการเลี้ยงชีพ


เพื่อตอบคำถามข้างต้น ผมได้สร้างโมเดลที่จะค้นหาความจริง โดยกำหนดให้ชาวเกษียณมีรายได้สองทาง ได้แก่

  1. กระแสเงินสดที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน (Passive Cash Flow หรือ P) และ

  2. เงินที่ทยอยไถ่ถอนมาจากเงินก้อน (Cash Redemption หรือ R)

เมื่อนำรายได้ข้างต้นหัก ค่าใช้จ่าย (Expense หรือ X) เรียบร้อยแล้ว หากมีเงินสดเหลือ เราจะเรียกว่า Cash Leftover หรือ L ซึ่งทั้งหมดจะสามารถเขียนเป็นสมการการใช้เงินของชาวเกษียณในปีที่ 1 ได้ดังนี้


สังเกตว่าในสมการ เราคำนึงถึงเงินสดที่เหลือมาจากปีก่อนหน้า (ปีที่ศูนย์) หรือ L0 ด้วย

จากแนวคิดนี้ เราสามารถเขียนสมการให้อยู่ใน รูปทั่วไป ก็ได้ โดยตัวเลข 1 ที่ห้อยไว้เพื่อแสดงว่าเป็นปีที่ 1 ก็จะเปลี่ยนเป็น i และท่านก็จะสามารถแทนค่า i ให้เป็นตัวเลขปีใด ๆ ที่ท่านต้องการ


เมื่อย้ายข้างจัดรูปเสียหน่อยก็จะได้


หากสังเกตให้ดี ฝั่งขวาของสมการเป็นกระแสเงินสดที่ไหลเข้าและไหลออกในปีนั้น ๆ ส่วนฝั่งซ้ายก็เป็นการสรุปว่าเงินสดที่คงค้างอยู่ในระบบมีการเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร


ภาพรวมหลังเกษียณ


แน่นอนว่าความสนใจของเรา ไม่ใช่ ชีวิตหลังเกษียณปีใดปีหนึ่ง แต่เป็นภาพรวมของทุก ๆ ปีภายหลังเกษียณ สมมติว่าเรามีชีวิตอยู่ต่อไปหลังเกษียณแล้วอีก n ปี (ถ้าท่านเกษียณที่อายุ 60 ปี และมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก n = 25 ปี นั่นหมายความว่า ท่านคาดการณ์อายุขัยของตนเองไว้เท่ากับ 60 + 25 = 85 ปี) เพื่อให้ครอบคลุมความสนใจของเรา เราก็จะคำนวณ “ผลบวก” ของทุกปี ตั้งแต่ปีที่ 1 ไปจนถึงปีที่ 25 นั่นเอง

[สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคย ซิกมา หรือ Σ เป็นตัวอักษรกรีกที่แปลเป็นภาษาคนง่าย ๆ ว่า “ผลบวก”]

เมื่อคิดผลบวก (ตั้งแต่ปีที่ 1 จนถึงปีที่ n) กับทั้งสองฝั่งของสมการ จะได้


หากลองแทนค่า i = 1, 2, 3,... ไปจนถึง n จะพบว่าฝั่งซ้ายของสมการเท่ากับ Ln – L0 ซึ่งเราออกแบบให้มีการไถ่ถอนหรือสร้างกระแสเงินให้พอดีกับที่จะใช้จ่าย ทำให้ไม่มีการสะสมเงินสดคงค้าง และฝั่งซ้ายนี้ก็จะกลายเป็นศูนย์ ส่วนฝั่งขวาของสมการนั้น พจน์ที่หนึ่ง (ΣP) และพจน์ที่สาม (ΣX) สามารถลดรูปลงได้

จากสมมติฐานที่ว่า Passive Cash Flow ในแต่ละปีมาจาก เงินปันผล ที่สินทรัพย์ A จ่ายออกมาด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (d) ที่ค่อนข้างคงที่ ดังนั้น ΣP = Σ(dA) = d Σ(A) ในกรณีที่สินทรัพย์เป็นพอร์ตโฟลิโอที่ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจอิ่มตัวและจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ เราสามารถคาดการณ์การเติบโตในระยะยาวเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ ส่วนค่าใช้จ่าย X ก็เติบโตในอัตราเดียวกับอัตราเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะได้ว่า ΣA = nA1 และ ΣX = nX1 ทำให้สามารถเขียนสมการข้างต้นให้อยู่ในรูป real term ซึ่งตัดผลกระทบจากเงินเฟ้อออกไปได้


ดังนั้น เราจะต้องไถ่ถอนเงินสด (แทะเงินก้อน) ตลอดช่วงเวลาการเกษียณ เท่ากับ


ถ้า X1 = dA1 ฝั่งขวาของสมการจะกลายเป็นศูนย์ หมายความว่า เราไม่ต้องแทะเงินก้อนเลย และในทางตรงข้าม หากเราไม่มีสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดเลย (A1 = 0) ก็จะได้ว่า ΣR = nX1 ซึ่งก็แปลว่า เราต้องเตรียมเงินก้อนเอาไว้เท่ากับค่าใช้จ่ายของปีแรก (X1) คูณด้วยจำนวนปีที่จะอยู่หลังเกษียณ (n) แล้วก็ต้องเอาไปฝากหรือทำอะไรให้มีผลตอบแทนเท่า ๆ กับอัตราเงินเฟ้อด้วย ถึงจะมีเงินพอให้แทะตลอดอายุขัย


การตัดสินใจครั้งสำคัญ


หากท่านต้องเลือกระหว่าง (1) การสร้างพอร์ตลงทุน A1 ที่สร้างกระแสเงินสดเลี้ยงเราไปตลอดชีพ และ (2) การเตรียมเงินก้อน ΣR ที่เพียงพอสำหรับการแทะกินไปได้ตลอดชีวิต นั่นแสดงว่าท่านกำลังเปรียบเทียบระหว่าง X1/d (เพราะว่า X1 = dA1) กับ nX1


ในกรณีที่ท่านสามารถสร้างพอร์ตลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผล d ที่มีค่ามากกว่า 1/n ได้ การสร้างกระแสเงินสดจะดีกว่าการแทะเงินก้อน

ตัวอย่างเช่น สมมติท่านเตรียมเกษียณที่อายุ 60 ปี และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากนั้น 25 ปี (n = 25) ด้วยการใช้จ่ายเดือนละ 2 หมื่นบาท การแทะเงินก้อนจะทำให้เงินเก็บ 6 ล้านบาทของท่านหมดไปพอดี เพราะ nX1 = 25 ปี x (20000 บาท x 12 เดือน) = 6,000,000 บาท

ในทางตรงข้าม หากท่านนำเงินจำนวนเดียวกันไปสร้างพอร์ตลงทุนที่ให้ผลตอบแทน d = 1/25 หรือ 4% ต่อปี พอร์ตลงทุนของท่านจะจ่ายเงินปันผลออกมาปีละ 0.04 x 6000000 = 240,000 บาท หรือเทียบเท่าเดือนละ 20,000 บาทพอดีเช่นกัน และเงินปันผลนี้ยังเติบโตเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ (สมมติว่า 2 เปอร์เซ็นต์) ทำให้สามารถรองรับค่าใช้จ่าย (ซึ่งก็เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับเงินเฟ้อด้วยเหมือนกัน) ได้ไปจนตลอดชีวิต

ความแตกต่างก็คือ เมื่อครบเวลา 25 ปีแล้ว การแทะเงินก้อนจะทำให้เงินเก็บ 6 ล้านบาทหมดสิ้นไป แต่พอร์ตลงทุนที่สร้างกระแสเงินสด นอกจากไม่หมดแล้วยังสามารถเติบโตขึ้นเป็น 6000000 x 1.02^25 = 9.84 ล้านบาทได้อีกต่างหาก ถ้าไม่ยกให้ลูกหลานญาติมิตร จะเขียนพินัยกรรมทำบุญส่งท้ายก็เป็นกุศลดี


ความเสี่ยงล่ะ?


ถึงตรงนี้หลายท่านคงเห็นแล้วว่าการสร้างกระแสเงินสดมีความยั่งยืนกว่าการแทะเงินก้อน แต่ก็อาจมีบางท่านกังวลในเรื่องของความเสี่ยง และคิดว่าอย่างน้อยถ้าเก็บเงินก้อนไว้แทะ เงินนั้นก็ยัง "ไม่หาย" จนกว่าเราจะหยิบมันออกมาใช้จ่าย ต่างจากพอร์ตลงทุนซึ่งอาจเจ๊งหมดตัวได้

ความกังวลข้อนี้มีทั้งที่จริงและไม่จริง ประการแรก คือ เงินก้อนที่เก็บไว้แทะก็อาจหายหรือลดน้อยลงได้เหมือนกัน แม้จะเป็นการซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ที่คิดว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะผู้จัดการกองทุนอาจนำเงินของเราไปซื้อตราสารหนี้เอกชน ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้และทำให้เงินต้นหายไปได้ ตัวอย่างนี้มีให้เห็นมาแล้วในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของไทยเราเอง

   ตัวอย่างผลขาดทุนจากกองทุนรวมตราสารหนี้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ

   * ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ กองทุนประเภทเดียวกันก็มีชะตากรรมแบบนี้ นักลงทุนโปรดเข้าใจว่าเป็นความเสี่ยงตามประเภทของกองทุน *




ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงวิกฤติแม้แต่ธนาคารยังแทบเอาตัวกันไม่รอด เงินฝากธนาคารที่คิดว่าแน่ก็ยังอาจไม่แน่ได้เหมือนกัน หรือถ้าจะได้เงินคืนเต็มจำนวนก็อาจต้องใช้เวลามากขึ้น ส่วนผลตอบแทนก็แทบไม่ต้องพูดถึง

ประการที่สอง พอร์ตลงทุนอาจเจ๊งหมดตัวหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับ "ไส้ใน" ที่เราจัดไว้ หากพอร์ตลงทุนของเราประกอบด้วยหุ้นหวือหวาเก็งกำไร หุ้นที่มี P/E สูง ๆ เช่น 50-60 เท่า โอกาสที่ราคาหุ้นในพอร์ตจะปรับตัวลงแรง ๆ ก็เป็นไปได้มาก

ในทางกลับกัน หากท่านจัดพอร์ตให้มีหุ้นชั้นนำขนาดใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอมาเป็นสิบปี ผสมผสานกับกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนตราสารหนี้ โอกาสที่ท่านจะเจ๊งหรือขาดทุนแรง ๆ ก็มีไม่มาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นการลงทุนระยะยาว 20-30 ปี

ประการที่สาม แม้ท่านจะเห็น มูลค่าพอร์ต ลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาด แต่ตราบเท่าที่ "กระแสเงินสด" ยังแข็งแกร่ง ท่านก็ไม่มีเหตุให้วิตก เพราะสิ่งที่ท่านต้องการจริง ๆ คือ กระแสเงินสด ไม่ใช่มูลค่าพอร์ตครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น