ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการเพิ่มยอดขาย vs ความสามารถในการควบคุมต้นทุน บางบริษัทท่านนักลงทุนควรเน้นอย่างแรก ขณะที่บางบริษัทควรให้ความสำคัญกับอย่างหลัง ซึ่งหากมีความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ท่านจะไม่มุ่งเน้นผิดที่ หรือ “โฟกัสผิดจุด” ซึ่งช่วยให้เบาแรงและมีผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้
ลองมาดูกันครับ
อะไรผลักดันให้กำไรโต
เริ่มต้นจากหลักพื้นฐานที่ว่า กำไร (Profit) เท่ากับ ยอดขาย (Sales) ลบด้วย ต้นทุน (Cost)
เมื่อหาค่าการเปลี่ยนแปลง (Δ) แล้วจัดรูป
เขียนแทนค่าอัตราการเปลี่ยนแปลง (เช่น ΔP/P) ด้วยอัตราการเติบโต (เช่น gP)
สังเกตว่าปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของกำไร มีอยู่ด้วยกัน 2 ตัว ได้แก่
- การเติบโตของยอดขาย (gS) และ
- ความสามารถในการควบคุมต้นทุนให้เติบโตน้อยกว่ายอดขาย (ส่วนต่าง gS – gC)
ความเข้มแข็งของแรงผลักดัน
จากสมการสุดท้ายแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยตัวแรกจะผลักดันอย่างตรงไปตรงมาในอัตราหนึ่งต่อหนึ่ง ส่วนปัจจัยตัวหลัง (ซึ่งมีตัวคูณ C/P อยู่ข้างหน้า) การผลักดันจะไม่ใช่สัดส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจมีอัตรากำไรมากน้อยเพียงใด
ในกรณีที่อัตรากำไรสูง เช่น กำไร 40 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย นั่นหมายความว่า สมมติยอดขาย 100 ล้านบาท หักต้นทุน 60 ล้านบาท เหลือเป็นกำไร 40 ล้านบาท สัดส่วน C/P ก็จะเป็น 60 / 40 = 1.5
ถ้าบริษัทมียอดขายเติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ (gS = 8%) และสามารถควบคุมต้นทุนให้เติบโตเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ได้ (gC = 7%) ดังนั้น gS – gC = 1%
เมื่อนำตัวเลขทั้งหมดย้อนกลับไปแทนค่าในสมการ เราจะพบว่าอัตราการเติบโตของกำไรเท่ากับ 9.5 เปอร์เซ็นต์ โดยมี 8 เปอร์เซ็นต์ที่มาจากพจน์แรก บวกกับอีก 1.5 เปอร์เซ็นต์จากพจน์หลัง ซึ่งท่านจะเห็นได้ว่า “น้ำหนัก” นั้นเทไปอยู่ในปัจจัยแรก คือ การเติบโตของยอดขาย เป็นสำคัญ
*** ตัวอย่างบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่มีมาร์จิ้นสูง: บริษัทที่ทำธุรกิจบัตรเครดิต (27-30%), สถาบันการเงินประเภทนอนแบงก์ (20-25%), โรงพยาบาล (26-30%)
ในทางตรงข้าม กรณีที่บริษัทมีอัตรากำไรน้อย เช่น กำไร 4 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ถ้ายอดขาย 100 ล้านบาท ก็หักต้นทุน 96 ล้านบาท เหลือเป็นกำไรเพียง 4 ล้านบาท อย่างนี้เป็นต้น สังเกตว่าคราวนี้อัตราส่วน C/P จะเท่ากับ 96 / 4 = 24 เลยทีเดียว
สมมติเช่นเดิมว่าบริษัทมียอดขายและต้นทุนเติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ และ 7 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำให้คำนวณอัตราการเติบโตของกำไรได้เท่ากับ 8% + 24 x (8% - 7%) = 32% ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า น้ำหนักได้ถูกเทมายังปัจจัยตัวที่สอง คือ ความสามารถในการควบคุมต้นทุน แทนเสียแล้ว
*** ตัวอย่างบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่มีมาร์จิ้นต่ำ: บริษัทค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยี (4-5%), ธุรกิจร้านค้าปลีกและค้าส่ง (2-3%), ธุรกิจแป้งและผลิตภัณฑ์อาหาร (3-4%)
ปัจจัยที่เป็นประธาน
สิ่งสำคัญที่อยากชี้ให้เห็น คือ ถ้าบริษัทมีมาร์จิ้นดี (อัตรากำไรสูง) เราควรจับตาดูการเติบโตของยอดขาย แต่ถ้าบริษัทมีมาร์จิ้นต่ำ เราควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน
ความหมายของผมก็คือ จะดูปัจจัยอื่นด้วยก็ยิ่งดี แต่ปัจจัยที่เป็นประธานนั้นต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพราะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้น (หรือลดลง!) ของกำไรและมูลค่าหุ้นได้มากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น