วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ค่างวดผ่อนบ้าน


ผมมักจะได้รับคำถามบ่อยๆ เกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน เช่น "ถ้ากู้เงินซื้อบ้าน 2 ล้านบาท จะต้องผ่อนเดือนละเท่าไหร่"





เรื่องนี้ตอบให้ชัดเจนลงไปยาก เพราะมันขึ้นกับหลายปัจจัยที่หลักๆ ก็คือ จะกู้กี่ปี และดอกเบี้ยเท่าไหร่

ผมมีแนวทางให้ 4 แนว ยากง่ายแตกต่างกันไปนะครับ



ทางแรก ใช้ Excel คำนวณ กรอกเข้าไปเลยครับ ผูกสูตรแล้วคำนวณออกมา

ข้อดีคือวิธีนี้ถูกต้อง 100% เปรียบเทียบดูได้ด้วยว่าจะกู้ยาวหรือกู้สั้นดี สมมติดอกเบี้ยถูกแพงตามใจชอบได้อิสระ แต่มีข้อเสียคือต้องใช้คอมฯ ทำ กว่าผมจะคำนวณออกมาได้คนที่ถามผมก็เลิกสนใจไปแล้ว บางคนผูกสูตรไม่เป็นก็ทำไม่ได้



ทางที่สอง ตอบแบบผู้เชี่ยวชาญในทีวี "กู้ 1 ล้านบาท ต้องจ่ายค่างวดตกเดือนละ 8,000 บาท" ... ง่ายดี แต่ไม่ค่อยแม่นนักนะครับ



ทางที่สาม ใช้สูตรที่เป็นที่ยอมรับในแวดวงการเงิน สามารถหาได้จากหนังสือด้านการเงิน ทว่า...ซับซ้อนหน่อยนะครับ แทนค่าดอกเบี้ย (r) และจำนวนปีที่กู้ (n) ลงไปในสูตร














เช่น กู้เงิน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 25 ปี ดอกเบี้ย 7% ต่อปี พอแทนค่าก็จะทราบว่าต้องจ่ายค่างวด 85,811 บาทต่อปี หรือ 7,151 บาทต่อเดือน



ทางสุดท้าย เป็นทางที่ผมเสนอ ใช้สูตรเหมือนกันครับ แต่ว่าเป็นสูตรที่ผม "คำนวณ" ขึ้นมาเอง ไม่มีในตำรา ไม่ต้องไปตามหานะครับ ได้ผลใกล้เคียงกับสูตรข้างต้นแต่ง่ายกว่ามาก บวกลบคูณหารเป็นก็ทำได้แล้ว

.








จากตัวอย่างเดิม พอแทนค่าจะได้ค่างวด 83,333 บาทต่อปี หรือ 6,944 บาทต่อเดือน ใกล้เคียงใช่มั๊ยล่ะ



คราวนี้พอใครมาถาม เราก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาคำนวณสั้นๆ ได้ทันที ไม่ยากเลยครับ

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

Comparative Advantage ในงานสัมมนา


ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ผมได้ไปงานสัมมนามา(อีกแล้ว) และได้มีอะไรสนุกๆ มาเล่าสู่กันฟัง

งานสัมมนานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง โดยเชิญเอาคนที่มีประสบการณ์จากบริษัทและมหาวิทยาลัยต่างๆ มาพูดคนละ session เรียงต่อกันไป งานจัดขึ้นในโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ ค่าสัมมนาก็แพงทีเดียวในสายตาของผม (xx,xxx บาท) ทั้งนี้บริษัทที่ผมทำงานเขาออกให้ก็ขอขอบพระคุณด้วยครับ

แง่คิดที่ได้จากสัมมนาในครั้งนี้ คือ เนื้อหาสำคัญกว่าตัวบุคคล ผมสังเกตว่าผมจะได้หรือไม่ได้อะไรในแต่ละ session ก็ขึ้นอยู่กับวิทยากรท่านนั้นๆ เตรียมเนื้อหามาดีแค่ไหน บางคนมาจากสถาบันหรือบริษัทดังๆ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้เตรียมตัวมา ว่ากันตรงๆ ก็คือ "คว้า" เอาเนื้อหาอะไรที่เกี่ยวข้องมาได้ก็เอามาพูด

ดังนั้นในสถานการณ์ปกติ ถ้าวิทยากรไม่ได้มีทักษะในการพูดดีเหมือนโอบามาหรือโทนี่ แบลร์ ผมเชื่อว่าการเตรียมตัว วิเคราะห์ผู้ฟัง และจัดวางเนื้อหาให้ "เนื้อนุ่ม น้ำอร่อย" ย่อมจะสำคัญกว่าโปรไฟล์หรือความดังของวิทยากร และอย่างหลังนี่แหละที่ทำให้ผู้จัดงานสัมมนาต้องจ่ายเงินแพงเพื่อเป็นค่าตัวของวิทยากร และแปลว่าผู้ฟังต้องจ่ายเงินสำหรับความ "ดูดี" ของงานเท่านั้น ซึ่งน่าเสียดายครับ

อันนี้คือแง่คิดที่เป็นน้ำจิ้มที่ผมได้จากงานสัมมนานี้ โอเค แล้วแง่คิดหลักของผมคืออะไร

สถานการณ์เป็นอย่างนี้ครับ นอกจากบริษัทจะได้ส่งผมไปในงานแล้ว ยังได้ส่งน้องๆ ในแผนกอื่นไปฟังอีก 4 คนด้วย ซึ่งผมและทุกคนก็รู้จักกันบ้างไม่ถึงกับสนิท ในช่วงที่พักทานบุฟเฟต์อาหารกลางวัน เรา 5 คนก็จองโต๊ะขนาด 6 ที่นั่งไว้ จึงเหลือที่ว่างในโต๊ะอีก 1 ที่ จากนั้นต่างคนต่างออกไปหาอาหาร (ฟังแล้วนึกถึงช่อง Animal Planet)

แต่ปรากฏว่าพอผมกลับมาก็มีชายอีก 2 คนมานั่งที่โต๊ะเราเสียแล้ว จะไล่ก็ไม่ได้ พวกเราก็เดินถือจานกลับมาทีละคนจนเต็มโต๊ะ 6 ที่เรียบร้อย น้องคนสุดท้ายที่มาก็เลย... อึ้งครับ

แน่นอนว่าท่ามกลางคนที่เราไม่รู้จัก ไม่มีใครอยากไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นให้มันอึดอัดหรอก ผมเชื่อว่าคนส่วนมากอย่างดีก็คงทำหน้าตาเห็นอกเห็นใจ แล้วบุคคลที่เกินมาก็เดินจ๋อยๆ ไปหาที่นั่งใหม่

ขณะที่น้องเขากำลังจะไปหาที่นั่งอื่น ซึ่งมันก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็เสนอให้น้องมานั่งที่ของผมแทนครับ! ลองวิเคราะห์ดูว่าผมไม่ชอบ แต่ทำไมผมถึงทำ!?

ถ้าว่าตามจริง ผมมีประสบการณ์ในงานสัมมนามาพอสมควร หากผมต้องไปนั่งเงียบๆ กินกับคนแปลกหน้าเต็มโต๊ะ ก็คงฝืดคอเล็กน้อย แต่ในเมื่อมันเป็นงานบุฟเฟต์ เราสามารถเดินออกไปผ่อนคลายหาของกินได้เรื่อยๆ สถานการณ์จึงไม่น่าจะถึงกับแย่มากมายนัก ในขณะที่น้องๆ อาจจะมีประสบการณ์บ้างแต่ก็คงน้อยกว่าผม และผมเองก็มีความหน้าด้านอยู่บ้าง อาจจะชวนคนแปลกหน้าคุยได้บ้าง แม้ว่าจะไม่ได้ response ที่ดีก็จะแอบเก็บเอาความหน้าแตกไว้คนเดียว จึงถือว่าผมมี "comparative advantage" คือ มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับน้องๆ ซึ่งน่าจะหน้าบางกว่าผม

การที่ผมเสียสละโดยที่ผมไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย จึงเป็นการซื้อใจน้องๆ ที่ยังไม่ได้สนิทกันโดยไม่ต้องใช้เงินซักบาท และไม่ได้ซื้อทีละคน แต่ผมซื้อทีละ 4 คน ซึ่งผมเห็นแล้วว่ามันคุ้มเกินคุ้ม ยังไม่นับความรู้สึกที่เราได้ทำความดีกับเพื่อนมนุษย์อีกประการหนึ่งด้วย

ผลลัพธ์คือน้องๆ ให้ความนับถือผมยิ่งขึ้น และพวกเราก็มีบทเรียนว่าคราวหน้าต้องแสดงตนให้ชัดเจนมากๆๆๆๆ ว่าที่นั่งนี้จองแล้ว(โว้ย)

ลองมองดูตัวเองนะครับว่ามี comparative advantage อะไรกันบ้าง สิ่งเล็กๆ ที่ทำแล้วได้ผลใหญ่ ทำดีไม่ต้องอายครับ

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

House of Derivatives ตอนที่ 8 คำนวณราคา Futures


ในชีวิตจริง ตลาดเป็นคนกำหนดราคา futures เช่น ถ้าตลาดซื้อขายกันที่ 110 บาท มันก็คือ 110 บาท (ใครจะเถียง!?)

แต่ในตำรา เรามีวิธีคำนวณหาราคา futures โดยสิ่งที่เรียกว่า cost of carry model ซึ่งแม้ผลที่คำนวณได้อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับที่ซื้อขายกันอยู่จริง แต่มันก็ไม่ได้ไร้สาระหรอกนะครับ ผมจะเล่าให้ฟัง

สมมติว่าหุ้น QQ ซื้อขายกันในตลาดที่ 100 บาทต่อหุ้น คำถามคือ ซื้อหุ้นตอนนี้กับซื้ออีก 1 ปีข้างหน้ามันต่างกันตรงไหน

  • ซื้อตอนนี้ ผมต้องจ่ายเงินทันที 100 บาท
  • ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ ... ก็ดี ... ผมจะเอาเงิน 100 บาทที่ว่าไปฝากแบงก์ก่อน ผ่านไป 1 ปีค่อยถอนออกมา สมมติว่าได้ดอกเบี้ย 3% ต่อปี เมื่อผมถอนเงินออกมาก็จะได้เงินทั้งสิ้น 103 บาท จากนั้นค่อยเอาเงิน 100 บาทไปซื้อหุ้น เก็บ 3 บาทตุนไว้ในกระเป๋า ฉลาดจัง
ดูๆ แล้ว เป็นใครก็คงเลือกทางเลือกที่สอง จริงมั๊ยครับ

ธรรมชาติของโลกจะปรับสมดุลให้ futures ของหุ้น QQ มีราคา 103 บาท ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คนที่เลือกทางแรกกับทางที่สองไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้หาก futures ซื้อขายกันสูงหรือต่ำกว่า 103 บาท ผมจะมีวิธีทำกำไรโดยปราศจากความเสี่ยง (arbitrage) ทันที

ตัวอย่าง

ถ้า futures ดันซื้อขายกันที่ 101 บาท ผมจะมองว่าราคาถูกเกินจริงและเข้าซื้อ futures ตัวนี้ทันที อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นการตกลงซื้อขายกันในอนาคต ดังนั้น ผมยังไม่ต้องใช้เงินสดในวันนี้

ขณะเดียวกัน ผมจะขายหุ้น QQ ออกไปที่ราคาตลาด 100 บาท (ขายโดยที่ไม่ต้องมีหุ้นก็ได้ เรียกว่า ทำ short sell แต่ครบกำหนดก็ต้องไปหาหุ้นมาคืนเขานะ) เงินที่ได้มาจากการขายหุ้น ผมจะเอาไปฝากธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย 3%

---> ผ่านไป 1 ปี --->

ขั้นตอนที่ 1 ผมถอนเงินจากธนาคารได้เงินมาทั้งสิ้น 103 บาท
ขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากผมซื้อ futures เอาไว้ ผมจึงเอาเงินที่ถอนออกมาแบ่งไปซื้อหุ้น QQ ได้ที่ราคา 101 บาท และยังเหลือเงินอีก 2 บาท
ขั้นตอนที่ 3 ผมต้องเอาหุ้นไปคืน (เพราะผมทำ short sell ไว้)

สรุปว่าผมไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ได้เงินมาเปล่าๆ 2 บาท ถ้าผมทำ arbitrage ในลักษณะนี้ด้วยสเกลที่ใหญ่ขึ้น ผมก็จะรวยได้ง่ายๆ หนทางเดียวที่จะหยุดยั้งผมเอาไว้ ราคาของ futures ต้องเท่ากับ 103 บาท

นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ความจริงมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอีกมากครับ