วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
มาด้วยกันก็(ควร)ไปด้วยกัน
ทุกวันนี้ผมเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินพร้อมกันกับแฟน เวลาที่ต่อคิวแตะบัตรเพื่อออกจากสถานีบางทีก็ต่อคิวเดียวกันแต่บางทีก็พลัดไปต่อกันคนละคิว จึงคิดขึ้นมาว่าตกลงแล้วควรทำแบบไหนกันแน่
ในแง่ของความกระจุ๋งกระจิ๋ง:
ต่อคิวเดียวกันย่อมจะดีกว่าในความเห็นของผม นอกเสียจากจะแข่งกันเล่นๆ ว่าใครจะเร็วกว่า อันนั้นก็อีกเรื่องนึง
ในแง่ของความเร็ว:
สมมติว่าฝ่ายหญิงออกจากสถานีได้ก่อน ผลที่ตามมา...ฝ่ายชายต้องยืนรอ หรือถ้าฝ่ายชายออกจากสถานีได้ก่อน...ฝ่ายหญิงก็ต้องรอ เว้นแต่ว่าฝ่ายหญิงจะเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วฝ่ายชาย(ซึ่งน่าจะเดินเร็วกว่า)ค่อยตามไปทัน แต่คาดว่าผู้หญิงร้อยละ 90 ไม่น่าจะชอบ
สรุปว่าในแง่ของความเร็ว เราจะถูกจำกัดด้วยการต่อคิวของคนที่ช้ากว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ดังนั้นผมมีความเห็นว่าต่อคิวเดียวกันไปน่าจะเป็นไอเดียที่เข้าท่าที่สุดครับ
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อีกมุมมองของการทำบุญ
บ่อยครั้งได้ยินว่าหลายคนบริจาคเงินเพื่อการกุศลแล้วไม่ยอมนำไปหักลดหย่อนภาษี
ที่ไม่ทำไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าทำได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ!! ผมจึงอยากนำเสนออีกมุมมองหนึ่งของการทำบุญบริจาค
คนงก: "อย่าบริจาคเลย เด็กพวกนี้เกิดมาจนก็ควรจะจนไป" (??!)
คนดีมีตังค์น้อย: "ฉันชอบบริจาคเงินเล็กๆ น้อยๆ หย่อนตามกล่องรับบริจาคทั่วไป"
คนดีมีตังค์มาก: "ฉันชอบบริจาคเงินกับมูลนิธิ และติดตามอยู่เสมอว่าเขาเอาเงินฉันไปทำประโยชน์อะไรบ้าง"
คนดีที่เข้าใจผิด: "ฉันบริจาคแล้วไม่หักลดหย่อนภาษีหรอก เดี๋ยวได้บุญน้อย ฉันทำบุญไม่หวังอะไรได้ใบเสร็จมาก็ฉีกทิ้งหมด" (ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ)
... ตามมุมมองของผม แทนที่บริจาค 1000 บาท เสร็จแล้วได้ใบเสร็จมาก็ฉีกทิ้ง ทำไมไม่บริจาค 1250 บาท แล้วก็ไปขอหักลดหย่อนภาษี สมมติเสียภาษีที่ 20% ก็จะได้เงินภาษีคืนมา 250 บาทพอดี เบ็ดเสร็จจ่ายเงินสุทธิ 1000 บาทเท่าเดิมแต่ว่ามูลนิธิได้เงินบริจาคเพิ่มขึ้น
ถ้าทุกคนร่วมมือกันตามตัวอย่างนี้ เงินบริจาคทุกๆ 100 บาทก็จะงอกขึ้นมา 25 บาท จะมีเด็ก คนพิการ หรือคนชราก็ตามที ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นทั่วประเทศอีกมาก ฉะนั้นอย่าอยู่เฉยเลยครับ เราไม่ได้เสียอะไรเพิ่มขึ้นเลย มาช่วยกันทำความดีดีกว่า
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แดร๊กมันเข้าไป
ในระหว่างที่เดินเลือกหาอะไรดื่มในเซเว่นฯ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังมีเรื่องประหลาดๆ เกิดขึ้นในสังคมของเรา ผมพบว่ามีคนจำนวนมากตอบสนองความต้องการของตัวเองด้วยการกินและดื่ม!
อย่างแรกคือคนอยากผอมก็กินโยเกิร์ตหรือเยลลี่ผสมบุก แทนที่จะไปออกกำลังกายและควบคุมอาหาร ทั้งที่เรื่องราวมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย ก็แค่ลด input เพิ่ม output ผมเห็นคนที่ทำแล้วได้ผลมามาก เพียงแต่มักจะไม่มีวินัยอย่างต่อเนื่องเพียงพอเท่านั้นเอง
ขณะเดียวกันคนอยากฉลาดก็หันไปหาเครื่องดื่มสารนำประสาท แทนที่จะขวนขวายหาความรู้ประดับตัว ผู้มีความรู้ด้านโภชนาการออกมาให้ความรู้ก็ไม่สนใจ ผมจึงสรุปว่าสารนำประสาทที่กินเข้าไปมีผลทำให้เขาฉลาดเท่าเดิม
สำหรับคนอยากสวยจำนวนหนึ่งก็หันมาดื่มเครื่องดื่มคอลลาเจนเสริมแรงกับที่ใช้เครื่องสำอางราคาแพง และคนอยากรวยก็ไม่รู้จักเก็บออมหรือลงทุน บางทีซื้อของมาดื่มกินเพื่อส่งฝาหรือฉลากชิงโชคก็มี
ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผมจะซื้อหุ้นบริษัทอาหารหรือเครื่องดื่มเอาไว้ เพราะท่าทางเทรนด์ติงต๊องแบบนี้จะยังมีอยู่ไปอีกนานครับ
วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แพงหรือไม่แพง
สาวๆ ในที่ทำงานของผมมักจะซื้อรองเท้าสวยๆ หรือกระเป๋าถือเก๋ๆ อย่างไม่ยากเย็น แถมยังมักจะเอามาอวดกันตามประสาผู้หญิง โดยเฉพาะถ้าสามารถซื้อมาได้ในราคาถูก แต่เชื่อไหมครับว่าหลายครั้งทีเดียวที่รองเท้านั้นซื้อแล้วก็ไม่ได้ใช้เพราะว่ามันใส่ไม่สบาย และกระเป๋าก็ไม่ได้เอามาใช้เพราะเพิ่งพบว่ามันหนักเกินไป
สำหรับผมนี่คือความสูญเปล่า จนอดคิดไม่ได้ว่าการซื้อในลักษณะนี้จะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างไร นอกจากได้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแต่เสียเงินไปตลอดกาล บางครั้งยังคิดว่าสู้ซื้อของดีๆ แพงขึ้นอีกหน่อยแต่ใช้ได้จริงใช้ได้ทนยังดีเสียกว่า ของดีแต่ไม่ถึงกับต้องแบรนด์เนม ทฤษฎีของผมมีดังนี้ครับ
- ถ้าซื้อของลดราคา 20% มา 5 ชิ้น เสร็จแล้วใช้ไม่ได้ชิ้นหนึ่ง ก็มีค่าเท่ากับซื้อของราคาปกติ
- ถ้าซื้อของคุณภาพไม่ดี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ถูก ใช้งานได้เพียง 2-3 ปีก็พังแถมยังกินไฟอีก สู้ซื้อสินค้าคุณภาพดีใช้งานได้เป็นสิบปีคุ้มค่ากว่า
- ถ้าซื้อของโดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีเร็วเกินไป นอกจากจ่ายแพงแล้วยังได้ของสเปกต่ำกว่าอีกด้วย
- ถ้าซื้อของเพียงเพราะกิเลสอยากได้ แต่ไม่ได้จำเป็นจริงๆ เมื่อชาวบ้านเขาเปลี่ยนเทรนด์กันก็เปลี่ยนตามบ้าง อย่างนี้ไม่มีทางคุ้มค่า
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ปลาหมึกพอล
ฟุตบอลโลกคราวนี้เป็นการชิงกันระหว่างฮอลแลนด์กันสเปน ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่เคยเป็นแชมป์มาก่อนเลย อย่างไรก็ตาม คน(?)ที่ดังที่สุดในช่วงนี้กลับไม่ใช่นักฟุตบอลของทีมไหน แต่เป็นเจ้าปลาหมึกพอลที่อยู่ในอควาเรียมที่เยอรมนีนู่นต่างหาก
เจ้าหมอนี่เซียนใช้ได้ ทายผลการแข่งขันของทีมเยอรมันในฟุตบอลโลกคราวนี้ถูกต้องมาโดยตลอด 6 นัดเข้าไปแล้ว เรียกว่าฮือฮาไปทั้งโลก แต่สิ่งที่คนสงสัยกันคือมันหยั่งรู้ได้จริงหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นการฟลุ๊กทำไมถึงทายถูกได้ติดต่อกันยาวนานขนาดนี้ โอกาสถูกต้อง 6 นัดติดต่อกันเท่ากับหนึ่งใน 2 ยกกำลัง 6 คือประมาณ 1.6% ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ ... คำตอบคือเป็นไปได้แน่นอนครับ
สีแดงหรอมแหรมของอังกฤษกินผมไม่ลงหรอก
คำอธิบายหนึ่งจากผม คือ นอกจากปลาหมึกรายนี้ยังมีสิงสาราสัตว์อื่นๆ อีกหลายตัวที่พยายามทายผลบอลโลก เท่าที่ทราบก็มีลิง มีฮิปโป ในสวนสัตว์อื่นที่พยายามทำคล้ายๆ กัน เพราะฉะนั้น 1.6% จึงไม่ใช่ความน่าจะเป็นของพอลตัวเดียว แต่เป็นความน่าจะเป็นที่รวมถึงสัตว์ตัวอื่นๆ ด้วย ลองนึกดูว่าถ้ามีสัตว์ 30 ตัวทายผลบอลโลก ความน่าจะเป็นที่มี "ใครซักตัว" ทายถูก 6 นัดรวด ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50% ...ชักเข้าเค้าใช่มั๊ยครับ
อีกคำอธิบายแบบแผลงๆ คือ ปลาหมึกตัวนี้ชอบสีเหลือง สีแดง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพอเห็นธงชาติเยอรมัน ซึ่งประกอบด้วยสีดำ แดง และเหลือง (จริงๆ คือ สีทอง) มันจึงวิ่งเข้าไปหา แต่ครั้นเห็นธงชาติสเปน อ๊ะ ไอ้นี้มันเหลืองแดงจะจะ เลยวิ่งไปเชียร์สเปนซะงั้น
ปกติผมชอบสีเหลืองแดง ผมชอบเยอรมันครับ
วันที่แข่งกับออสเตรเลียผมไม่ต้องคิดให้เมื่อย
ผมเหลือบไปเห็นแดงของเซอร์เบียเลยไขว้เขวนิดๆ แต่ก็ทำให้ทายถูก
ชั่งใจกับกาน่านิดหน่อย แต่ก็เลือกเยอรมันอยู่ดี
วันที่แข่งกับออสเตรเลียผมไม่ต้องคิดให้เมื่อย
ผมเหลือบไปเห็นแดงของเซอร์เบียเลยไขว้เขวนิดๆ แต่ก็ทำให้ทายถูก
ชั่งใจกับกาน่านิดหน่อย แต่ก็เลือกเยอรมันอยู่ดี
สีฟ้าของอาร์เจนฯ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่เหลืองแดงของสเปนนี่มันจะแจ้งเกินห้ามใจ

ด้วยประการฉะนี้แล
ลงชื่อ นายปลาหมึกพอล
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แต่งงาน
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ไปงานแต่งงานเพื่อนสนิทของผมคู่หนึ่ง ด้วยความมือซนปนกับไม่รู้จะเขียนอวยพรอย่างไรให้สั้นๆ แต่ได้เนื้อหาโดนๆ ผมจึงวาดสามเหลี่ยมข้างบนนี้เข้าให้ กลายเป็นปริศนาธรรมไปแล้วรูปนี้สามารถอ่านได้ 2 ทาง คือ อ่านจากล่างขึ้นบนก็ได้ หรือจะอ่านจากบนลงล่างก็ได้เช่นกัน ถ้าว่ากันตามตรงผมคิดว่าผมเขียนอวยพรแต่งงานคราวนี้ได้ประทับใจ (อย่างน้อยก็ประทับใจตัวเอง) มากที่สุดเท่าที่เคยเขียนในงานแต่งงานมา เลยเอารูปมาลงไว้ในบล็อกเพราะเชื่อว่าน่าจะเอาไว้สอนใจคนอื่นๆ ได้ด้วย ลองตีความหมายกันดูนะครับ แล้วว่างๆ จะมาเฉลยให้ฟัง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)