ดูเหมือนแนวคิดที่บอกว่า “กำไร คือ เจ้ามือตัวจริงที่จะผลักดันราคาหุ้น” จะเริ่มเป็นที่แพร่หลายจากคำพูดของเซียนหุ้นวีไอ คุณโจ ลูกอีสาน (อนุรักษ์ บุญแสวง) อิทธิพลของแนวคิดนี้ทำให้ผู้เล่นในตลาดส่วนหนึ่งเปลี่ยนบทบาทจากนักเก็งกำไรที่พยายามคาดเดาทิศทางราคาหุ้น มาเป็นนักลงทุนที่พยายามคาดการณ์กำไรของบริษัทแทน
โดยธรรมชาติของการคาดการณ์ตัวเลข เรามักเริ่มต้นจากการดูข้อมูลย้อนหลัง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากรู้กำไรของปีหน้า เราก็อาจจะดูตัวเลขกำไรย้อนหลังไป 3-5 ปี เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการ “เก็ง” ตัวเลขของปีต่อไป ซึ่งดูเผิน ๆ ก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี นอกเสียจากเราจะตระหนักถึงความจริงที่ว่า กำไรสุทธิ ของบริษัท เกิดจากการนำตัวเลขใหญ่ก้อนหนึ่ง (ยอดขาย หรือรายได้ของบริษัท) มาหักด้วยตัวเลขใหญ่อีกก้อนหนึ่ง (ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ) เมื่อการคำนวณเป็นดังนี้ กำไรสุทธิของบริษัทจึงมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง และการเติบโตของมันก็เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก
คาดการณ์โดยตรง
หลังจากผลประกอบการของปี 2017 ประกาศออกมา สมมติว่านักลงทุนท่านหนึ่งอยากคาดการณ์กำไรสุทธิของกิจการค้าปลีกแห่งหนึ่ง จึงเปิดหาข้อมูลจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดังนี้
รูปแบบที่ 1 นักลงทุนอาจสังเกตว่ากำไรสุทธิของปี 2016 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 3,000 ล้านบาท และต่อมาในปี 2017 กำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3,200 ล้านบาท ด้วยความที่เคยเรียนวิชาเลขอนุกรม นักลงทุนท่านนี้อาจเห็นความสัมพันธ์ของตัวเลขและคาดการณ์ว่ากำไรของปีต่อไปน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 3,400 ล้านบาท... กลายเป็นกำไรสุทธิ 23,300 ล้านบาท ในปี 2018
รูปแบบที่ 2 นักลงทุนอาจคำนวณว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2016 เท่ากับ (16677 – 13682) / 13682 = 21.9% และอัตราการเติบโตของปี 2017 เท่ากับ (19908 – 16677) / 16677 = 19.4% นักลงทุนท่านนี้ตั้งข้อสังเกตว่าฐานกำไรที่ใหญ่ขึ้นของบริษัทอาจทำให้เปอร์เซ็นต์การเติบโตค่อย ๆ ลดลง เขาจึงคาดหวังการเติบโตในระดับ 18% สำหรับปีต่อไป หรือคิดเป็นกำไรสุทธิ 19908 x 1.18 = 23,491 ล้านบาท
คาดการณ์โดยอ้อม
นอกจากการคาดการณ์โดยตรงจากข้อมูลกำไรสุทธิแล้ว นักลงทุนยังสามารถคาดการณ์โดยอ้อมจากตัวเลขที่มีความมั่นคงมากกว่าอย่างยอดขายก็ได้
เริ่มต้นจากนิยามของ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin: NPM) โดยนำ กำไรสุทธิ (Net Profit: NP) มาหารด้วย ยอดขาย (Sales: S)
* ในที่นี้อนุโลมให้ ยอดขาย = รายได้
แล้วก็ห้อย “ตัวเลขปี” กำกับไว้ด้วย เช่น NP1 เป็นกำไรสุทธิของปีที่ 1 ส่วน S1 ก็เป็นยอดขายของปีที่ 1 ฯลฯ สำหรับ ∆NPM ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของอัตรากำไรสุทธิ
เมื่อจับสมการข้างต้นมาหารกัน
ซึ่งถ้าย้อนไปที่นิยามของ “การเติบโต” ก็เกือบจบแล้ว
แทนค่าแบบซื่อ ๆ เข้าไปในสมการก่อนหน้านี้
สมการสุดท้ายนี้บอกเราว่า แทนที่จะประเมินการเติบโตของกำไรโดยตรง เราสามารถประเมินการเติบโตของรายได้หรือยอดขาย (gS) และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอัตรากำไรสุทธิ (∆NPM) ก็ใช้ได้เหมือนกัน
กลับไปที่ตัวอย่างการคาดการณ์กำไร
รูปแบบที่ 3 สมมติว่านักลงทุนท่านเดิมย้อนกลับไปที่ข้อมูลของบริษัทค้าปลีก
อัตราการเติบโตของรายได้ในปี 2016 เท่ากับ (451939 – 405893) / 405893 = 11.3% และการเติบโตของรายได้ในปี 2017 เท่ากับ (489403 – 451939) / 451939 = 8.3% ด้วยข้อสังเกตว่าฐานรายได้ที่ใหญ่ขึ้นของบริษัทอาจทำให้เปอร์เซ็นต์การเติบโตค่อย ๆ ลดลง นักลงทุนจึงคาดว่ารายได้จะมีการเติบโตในระดับ 7% สำหรับปีต่อไป
เนื่องจากบริษัทมีการปรับโครงสร้างเงินกู้ยืมในสองปีล่าสุด ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง และสะท้อนออกมาด้วยอัตรากำไรสุทธิที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนประเมินว่าโครงสร้างเงินกู้ยืมดังกล่าวเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ประกอบกับความสามารถการทำกำไรที่ค่อนข้างอยู่ตัว จึงประเมินว่าอัตรากำไรสุทธิน่าจะคงเดิมที่ 4.07% (การเปลี่ยนแปลงเป็นศูนย์)
เมื่อผนวกมุมมองทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน การเติบโตของกำไร (gNP) จะคำนวณตามสมการได้เท่ากับ 0.07 + (0 x 1.07) = 7% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 19908 x 1.07 = 21,302 ล้านบาท ในปี 2018
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ในเวลาต่อมาบริษัทประกาศผลการดำเนินงานของปี 2018 นักลงทุนพบว่าบริษัทมีกำไรจริงประมาณ 20,930 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 1,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตของกำไร 5.1%
หากย้อนกลับไปที่การคาดการณ์กำไรรูปแบบที่ 1 และรูปแบบที่ 2 ข้างต้น ตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงนี้ควรถือว่า “ผิดคาด” ไปมาก แต่กับการคาดการณ์รูปแบบที่ 3 ตัวเลขนี้นับว่าใกล้เคียงทีเดียว
แน่นอน บางท่านอาจแย้งขึ้นมาว่า อันที่จริงเราสามารถใส่การวิเคราะห์เพิ่มเติมเข้าไปในการคาดการณ์สองรูปแบบแรกได้ด้วยเหมือนกัน อย่างเช่น ตัดผลกระทบของการประหยัดดอกเบี้ยจ่าย เพื่อหาอัตราการเติบโตที่มาจากการดำเนินงานล้วน ๆ นี่ก็อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้การคาดการณ์แม่นยำขึ้นได้
ข้อคิดที่อยากให้ไว้ คือ แม้ความสามารถในการวิเคราะห์ของเราจะมีเท่าเดิม แต่ความรู้ + วิธีคิดที่ดีและหลากหลายขึ้นอาจทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำขึ้นก็ได้ และถ้า “กำไร คือ เจ้ามือตัวจริงที่จะผลักดันราคาหุ้น” แล้วล่ะก็ เมื่อคาดการณ์กำไรได้ดีขึ้นก็จะเท่ากับคาดการณ์ราคาหุ้นได้ดีขึ้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น